เปิดประตูเส้นทางท่องเที่ยวใหม่…
เชื่อมโยง ๔ มรดกโลก
เรื่องประวัติศาสตร์นี่ไม่ต้องพูด ถึงยาวนานมาตามลำดับ ตั้งแต่ยุคโบราณอยู่แล้ว ท่านที่ชื่นชอบกับแผ่นดินในแนวเทพนิยายนี่บอกเลยว่าอย่าพลาดเมืองที่มีสถานที่ทางธรรมชาติที่สวยที่สุดในโลก” เมืองที่ซุกตัวอยู่ใต้เงาของเทือกเขาไม่มีเบื่อเมื่อต้องเดินทาง ฤดูฝนของที่นี่วิวสวยอากาศสบาย อาหารอร่อย ดีใช้ได้ ที่น่าสนใจเยอะแยะมาก สับขา ลางาน แล้วไปเที่ยวกันเถอะ
สำหรับในช่วงวันหยุดสุดสัมปดาห์แบบนี้ ใครที่เบื่องานในเมืองกรุง อยากจะหมายมุ่งตามรอยเมืองแห่งในตำนานมรดกโลก โดยการเริ่มต้นจากการออกเดินทางจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้า จังหวัดที่ฤดูฝนสวยกว่าฤดูหนาวอย่างเพชรบูรณ์ แวะรับประทานอาหารกลางวัน เจ้าแรกในตำนาน ณ. ร้านไก่ย่างตาแป๊ะ 2 ที่ร้านขายไก่ย่างต้นตำรับหนังกรอบเนื้อนุ่ม ของอำเภอวิเชียรบุรี ส่งต่อความอร่อยมายาวนานกว่า 50 ปี ตั้งอยู่ริมถนนสายสระบุรี-หล่มสัก
ว่ากันว่าใครมาถึงเพชรบูรณ์แล้ว ไม่แวะมากินไก่ย่างร้านนี้ก็เหมือนมาไม่ถึง
เพชรบูรณ์
อิ่มท้องแล้วไปตามจุดหมาย การเยี่ยมชม อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ โบราณสถานสำคัญแห่งหนึ่ง ของจังหวัดเพชรบูรณ์ หนึ่งในมกรดกโลก ที่เราอยากไปชมให้เห็นด้วยตาตัวเองคือ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ เป็นเมืองน่าเที่ยวน่าสัมผัสความเก่าแก่แบบลึกลับ เมื่อก้าวแรกที่ข้ามผ่านประตูเมืองโบราณ เหมือนได้เข้าสู่เมืองเทพนิยาย ตัวเมืองเก่าถูกล้อมรอบด้วยกำแพงเมืองใหญ่ขนาดใหญ่ที่แข็งแรงและมีความงดงาม
ศรีเทพเป็นเมืองโบราณที่อยู่ในท้องที่อำเภอศรีเทพ เดิมมีชื่อว่า “เมืองอภัยสาลี” ถูกค้นพบเมื่อสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จไปตรวจราชการมณฑลเพชรบูรณ์ และได้ทรงเรียกเมืองนี้เสียใหม่ว่า “เมืองศรีเทพ” เมื่อปี พ.ศ. 2447-2448 เมืองโบราณศรีเทพนี้มีลักษณะเป็นเมืองซ้อนเมืองขนาดใหญ่ ที่ตั้งของเมืองอยู่ในชุมทาง ที่สามารถติดต่อกับภาคอื่นๆ ได้สะดวก
ดังนั้น จึงได้รับอิทธิพลทางศิลปวัฒนธรรมจากอาณาจักรข้างเคียง มาผสมผสาน เช่น ศิลปะทวารวดี ศิลปะขอม เป็นต้น
เมืองศรีเทพ สร้างขึ้นในยุคของขอมเรืองอำนาจ ซึ่งคาดว่า มีอายุไม่ต่ำกว่า 1,000 ปี โดยดูจากหลักฐานทางสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม และวัฒนธรรมที่ตกทอดมาถึงปัจจุบัน ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและมีความเจริญสูงสุดทางด้านสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม สันนิษฐานว่าเจริญอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 11 ถึงพุทธศตวรรษที่ 16
วัดธรรมยาน เริ่มก่อสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2554 พระอุโบสถวัดธรรมยานนี้ มีความโดดเด่นทางด้านสถาปัตยกรรมผสมผสานสถาปัตยกรรมแบบล้านนา-ล้านช้าง เข้ากับสถาปัตยกรรมไทยแบบร่วมสมัย ที่มีความเรียบง่าย แต่งดงามภายใน
บริเวณสระน้ำด้านหน้าพระอุโบสถ ยังมีประติมากรรมพญานาคขนาดใหญ่ 2 ตน ตั้งคู่กัน ซึ่งเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปและสักการะขอพร โดยผู้ที่ออกแบบพระอุโบสถและประติมากรรมพญานาค โดย คุณเทวินทร์ วรรณะบำรุง สถาปนิกอาวุโส บริษัท เอสซีจี จำกัด เป็นผู้ดำเนินการออกแบบและควบคุมงานก่อสร้างดังกล่าว จึงทำให้พระอุโบสถวัดธรรมยาน และประติมากรรมพญานาค เป็นจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ประกอบกับความร่มรื่น เงียบสงบภายในบริเวณวัด ที่นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม
เพื่อความรู้ ด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมภูมิปัญญาต่าง ๆ จัดแสดงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีของจังหวัดเพชรบูรณ์ประวัติศาสตร์ ศิลปะวัฒนธรรม และสิ่งที่เกี่ยวข้องทำให้เกิดเส้นทางเชื่อมโยง ๔ มรดกโลก ศรีเทพ-สุโขทัย-พระนครศรีอยุธยา-หลวงพระบาง มีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น
Toptotravel จึงเดินทางไปยัง หอโบราณคดีเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2556 เดิมเป็นที่ตั้งของศาลากลางจังหวัดเพชรบูรณ์หลังเก่า เมื่อมีการย้ายศาลากลางจังหวัดไปอยู่ศูนย์ราชการ ทางเทศบาลเมืองเพชรบูรณ์ จึงขอใช้สถานที่นี้ เพื่อทำเป็นหอโบราณคดี โดยมีดำริมาจากบุคคลที่มีความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมภูมิปัญญาต่าง ๆ ของจังหวัดเพชรบูรณ์ จัดแสดงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีของจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นห้องโถงต้อนรับ ห้องกาแฟและห้องว่าด้วยของกินในเพชรบูรณ์ ชื่อว่า “ห้องครัวเพชรบูรณ์” การจัดแสดงเรื่องราวของเพชรบูรณ์ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์มาจนถึงยุคศรีเทพ จัดแสดงในช่วงต่อมาคือ สมัยสุโขทัย อยุธยาและรัตนโกสินทร์ จนถึงยุคร่วมสมัย มีห้องสมุดทางวัฒนธรรมของเพชรบูรณ์และห้องจัดนิทรรศการหมุนเวียน นอกจากนั้นยังเป็นที่ตั้งของศูนย์บริการการท่องเที่ยวของเทศบาลเมืองเพชรบูรณ์อีกด้วย สำหรับชื่อ เพ็ชรบูรณ์อินทราชัยนั้น เป็นพระนามของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย พระราชโอรสอันดับที่ 72 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เดินชมด้านในการจัดแสดงแบ่งออกเป็น 4 ห้อง ได้แก่ ห้องที่ 1 โรงหนังไทยเพชรบูรณ์เป็นการจำลองโรงหนังแห่งแรกของเพชรบูรณ์ ห้องที่ 2 ห้องจากเขาคะนาถึงศรีเทพจัดแสดงเป็นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเพชรบูรณ์ ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์จนถึงยุคศรีเทพ ห้องที่ 3 จัดแสดงเกี่ยวกับความเป็นมาของเมืองเพชรบูรณ์ในสมัยสุโขทัย พบหลักฐานสำคัญให้ทราบว่าชื่อเดิมของเพชรบูรณ์คือเพชบุระ และห้องที่ 4 จัดแสดงเกี่ยวกับแผนการให้จังหวัดเพชรบูรณ์เป็นเมืองหลวงของไทย มีห้องหลักเมือง ห้องเพชรบูรณ์เมื่อวันวาน ห้องตำนานเพชรบูรณ์ และห้องครัวเพชรบูรณ์ มาที่นี่ครบจบทุกเรื่องราว
หลังจากนั้น เราออกเดินทางต่อไปยัง ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ซึ่งอยู่บริเวณ
ไม่ไกลจากหอโบราณคดีเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย เพื่อไปสักการะศาลเจ้าพ่อหลักเมือง เสาหลักเมืองเพชรบูรณ์ เป็นแท่งเสาหินทรายสีเทา มีลักษณะปลายป้านโค้งมน มีความสูงจากฐานล่างถึงปลายยอด 184 เซนติเมตร กว้าง 30 เซนติเมตร ความหนาประมาณ 15-16 เซนติเมตร มีจารึกอักษรขอมทั้ง
4 ด้าน ปลายฐานด้านล่างสุดมีลักษณะแผ่ขยายออกคล้ายวงกลมแบน
ในปัจจุบัน กรมศิลปากรได้ทำการอ่านและแปลศิลาจารึกเสาหลักเมืองเพชรบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สรุปได้ความว่า เป็นการจารึก ลงในเสาหินทรายสีเทาใน 2 ยุคด้วยกัน คือ ครั้งแรก เป็นการจารึกในด้านที่ 1 เป็นอักษรขอมโบราณ ภาษาสันสกฤต มีข้อความ 22 บรรทัด จารึกเมื่อมหาศักราช 943 ตรงกับพุทธศักราช 1564 เป็นข้อความการสรรเสริญพระศิวะ
ในศาสนาพราหมณ์ ส่วนการจารึกครั้งที่ 2 เป็นการจารึกใหม่ในด้านที่
เหลือ 3 ด้านเมื่อจุลศักราช 878 ตรงกับพุทธศักราช 2059 เป็นอักษรขอม ภาษาไทย บาลีและเขมร เป็นข้อความเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา มีข้อความ
ที่ให้ช่วยกันสืบสานพระพุทธศาสนาให้ได้ 5,000 ปี
บนเส้นทาง ท่องวิถี๔มรดกโลก ท่านใดเดินทางมา จังหวัด เพชรบูรณ์
ต้องแวะ สักการะและชมความงดงามของ พระพุทธมหาธรรมราชา พระประจำจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นพระพุทธรูปเนื้อโลหะ หล่อด้วยทองเหลืองบริสุทธิ์ ใหญ่ที่สุดในจังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อเป็นองค์ประธาน ประดิษฐาน
ณ พุทธอุทยานเพชบุระ ถนนสายสระบุรี-หล่มสัก อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ยอดพระเกตุบรรจุพระบรม สารีริกธาตุ ขนาดหน้าตัก 11.984 เมตร มีความหมาย 1 หมายถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชทรงเป็นพระมหากษัตริย์เอก หนึ่งในดวงใจของชนชาวไทย
1 หมายถึง พระพุทธมหาธรรมราชา ซึ่งมีเพียงองค์เดียวในโลก เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองเพชรบูรณ์ เป็นองค์พระที่อัญเชิญมาประกอบพิธีอุ้มพระดำน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ของเมืองเพชรบูรณ์9 หมายถึง รัชกาลที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ 84 หมายถึง วโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเจริญพระชนมายุ 84 พรรษา
อยากเดินเที่ยวถนนคพื้นเดิน ซึ่งอยู่ในพื้นที่อำเภอหล่มสัก พิพิธภัณฑ์หล่มศักดิ์” สถานที่ที่รวบรวมเรื่องราว เหตุการณ์ ความเป็นมาและวิถีชีวิต ของ “เมืองหล่มสัก” ชุมชนที่มีประวัติมาช้านานและมีความสำคัญอย่างมากของจังหวัดเพชรบูรณ์ มาจัดแสดงไว้ไม่ให้สูญหายไปตามกาลเวลา
พิพิธภัณฑ์หล่มศักดิ์ เป็นสถานที่ที่รวบรวมเรื่องราว เหตุการณ์ ความเป็นมาและวิถีชีวิต ของ “เมืองหล่มสัก”ในอีกมุมนึง ของเส้นทาง ท่องวิถี๔มรดกโลก หากใครที่อยากดื่มด่ำบรรยากาศถนนคนเดินไทหล่ม สัมผัสกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนท้องถิ่นผ่านถนนคนเดิน ไทหล่ม ตลาดนัดน่าเดินบนถนนสายรณกิจ ถนนสายเก่าแก่ของอำเภอหล่มสัก ซึ่งตลอดสองฟากฝั่งถนนยังคงความคลาสสิกของบ้านเรือนไม้โบราณ 2 ชั้น ไว้ให้เห็นอย่างงามตา สีสันความคึกคักของถนนคนเดินไทหล่มจะเริ่มต้นทุกเย็นวันเสาร์ตั้งแต่ 5 โมงเย็นไปจนถึง 4 ทุ่ม จัดแสดงได้สวยงามมากๆ
ชมวิถีชีวิต ของ “เมืองหล่มสัก”ในอีกมุมนึงในพิพิธภัณฑ์หล่มศักดิ์ เราเริ่ม
หิวใกล้กันนั้น เป็นถนนคนเดิน ไทหล่ม จึงออกเดินทางเพื่อไปเพลิดเพลินชมบรรยากาศวิถีชีวิตกับการออกร้านต่าง ๆ ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าแม่ค้าชาวหล่มสัก ทั้งร้านจำหน่ายอาหารพื้นเมืองที่หารับประทานขนมจีนไทหล่ม ปิ้งไก่ข้าวเบือ ข้าวหลามพญาลืมแกง ฯลฯ สินค้าพื้นเมือง เสื้อผ้า เครื่องประดับ สินค้าทำมือของชาวบ้านที่สามารถซื้อเป็นของฝากของที่ระลึกมากมาย
นอกจากนี้ ที่บริเวณโดยรอบของถนนคนเดินมีการแสดงทางวัฒนธรรม ซุ้มสาธิตการตีมีดโบราณ จากกลุ่มตีมีดบ้านใหม่ที่สืบทอดช่างฝีมือมานานนับ 100 ปี จากช่างชาวเวียงจันทน์ การแสดงดนตรีพื้นเมือง ตลอดจนกิจกรรมรำวงย้อนยุคให้ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวร่วมรำวงกันอย่างสนุกสนาน
เช้าวันที่สาม ของการเดินทางท่องวิถี๔มรดกโลก เดินทางไปต่อเพื่อสักการะพระธาตุศรีสองรัก บุคคลทั่วไปสามารถเข้าเยี่ยมชมสถานที่ได้ แต่ขอให้เคารพสถานที่ แต่งกายให้สุภาพ พระธาตุศรีสองรัก สร้างขึ้นตั้งแต่ในปี พ.ศ.2103 สมัยกรุงศรีอยุธยา เพื่อเป็นสักขีพยานในการช่วยเหลือกันระหว่างพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา(ไทย) และพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชแห่งอาณาจักรล้านช้าง(ลาว) เนื่องจากยุคนั้นพม่าเรืองอำนาจ และมีการรุกรานดินแดนต่างๆ เพื่อขยายอำนาจ กษัตริย์ทั้งสองพระองค์จึงเห็นว่าควรจับมือกันเพื่อความมั่นคง
จึงได้กระทำสัตยาธิษฐานว่า จะไม่ล่วงล้ำดินแดนของกันและกัน พร้อมได้ร่วมกันสร้างเจดีย์ขึ้นถวายมีพระนามว่า “พระธาตุศรีสองรัก” ริมลำน้ำหมัน เป็นดังสักขีพยานแห่งสัจจะไมตรี และจะมีการจัดงานสมโภชพระธาตุในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปี ผู้ที่จะมาสักการะพระธาตุศรีสองห้ามใส่เสื้อผ้า “สีแดง” หรือถือสิ่งของที่มีสีแดงเข้าไปบริเวณองค์พระธาตุ เพราะสีแดง อาจเปรียบได้กับเลือดที่เป็นผลของการทำสงคราม คนโบราณจึงมีการห้ามไม่ให้ผู้ที่สวมเสื้อผ้าสีแดง เข้าไปบริเวณองค์พระธาตุ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบมาจนถึงปัจจุบันด้วยเช่นกัน
เราเดินทาง ต่อเเพื่อเข้าสู่อำเภอเขาค้อ ด้วยการไปชม วัดพระธาตุผาแก้ว เดิมชื่อ พุทธธรรมสถานพระธาตุผาซ่อนแก้ว ไปแล้วจะหลงรัก ที่นี่เป็นเมืองสำคัญทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเต็มไปด้วยโบราณสถานเก่าแก่งดงามที่พึ่งพิงธรรมชาติอย่างชาญฉลาดไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมเป็นสถานที่ปฎิบัติธรรมซึ่งมีทิวทัศน์สวยงามรอบด้าน มองเห็นผาซ่อนแก้วและทิวเขาสลับซับซ้อน มีศาลาปฎิบัติธรรมประดิษฐานพระพุทธรูปหยกงดงามภายในตกแต่งด้วยภาพวาดศิลปะสวยงามแปลกตา ตั้งอยู่ ณ บริเวณเนินเขาในหมู่บ้านทางแดง ต.แคมป์สน อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์
ซึ่งได้เริ่มก่อสร้างในราวปลายปี 2547 โดย คุณภาวิณี และ คุณอุไร โชติกูล ได้มีจิตศรัทธาซื้อที่ดินถวายเริ่มแรกจำนวน 25 ไร่ เพื่อก่อสร้างเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมแก่พระสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนทั่วไป วิถีชีวิตคนที่จังหวัดสุขโขทัย ไปไหนมาไหนยิ้มทักท้าย ดูแล้วมีความสุขจริงๆ
ปัจจุบันมีผู้ร่วมถวายปัจจัยซื้อที่ดินเพิ่มรวมทั้งสิ้นมีที่ดินรวม 91 ไร่ สถานที่อันเป็นธรรมภูมิที่งดงาม ซึ่งเรียกว่าผาซ่อนแก้วนี้ มีธรรมชาติเป็นภูเขาที่สูงใหญ่ ซ้อนกันเป็นทิวเขาเรียงรายโอบรอบบริเวณศาลาปฏิบัติธรรม บนยอดเขาสูงตระหง่านนั้น มีถ้ำอยู่บนปลายยอดเขา มีชาวบ้านทางแดงหลายคน ได้เห็นลูกแก้วลอยเหนือฟากฟ้า และลับหายเข้าไปในถ้ำบนยอดผา ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมา และต่างถือว่าเป็นสถานที่มงคล มีความศักดิ์สิทธิ์และเรียกตามๆ กันว่า “ผาซ่อนแก้ว” และพุทธสถานที่มาตั้งในจุดที่โอบล้อมด้วยทิวเขาดังกล่าว จึงเรียกว่า “พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว” เพื่อเป็นนิมิตมงคลแก่ชาวบ้านทางแดง และผู้มาปฏิบัติธรรมสืบไป
วัดพระธาตุผาแก้ว อำเภอเขาค้อ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วเดิมชื่อ พุทธธรรมสถานพระธาตุผาซ่อนแก้ว เป็นสถานที่ปฎิบัติธรรม มีทิวทัศน์สวยงามรอบด้านมองเห็นผาซ่อนแก้วและทิวเขาสลับซับซ้อน บุคคลทั่วไปสามารถเข้าเยี่ยมชมสถานที่ได้ แต่ขอให้เคารพสถานที่ แต่งกายให้สุภาพ ถ้าอยากจะถ่ายรูป มีศาลาปฎิบัติธรรมประดิษฐานพระพุทธรูปหยกงดงามภายในตกแต่งด้วยภาพวาดศิลปะสวยงามแปลกตา ตั้งอยู่ ณ บริเวณเนินเขาในหมู่บ้านทางแดงต.แคมป์สน อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์
ซึ่งได้เริ่มก่อสร้างในราวปลายปี 2547 โดย คุณภาวิณี และ คุณอุไร โชติกูล ได้มีจิตศรัทธาซื้อที่ดินถวายเริ่มแรกจำนวน 25 ไร่ เพื่อก่อสร้างเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมแก่พระสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนทั่วไป ปัจจุบันมีผู้ร่วมถวายปัจจัยซื้อที่ดินเพิ่มรวมทั้งสิ้นมีที่ดินรวม 91 ไร่ สถานที่อันเป็นธรรมภูมิที่งดงาม ซึ่งเรียกว่าผาซ่อนแก้วนี้ มีธรรมชาติเป็นภูเขาที่สูงใหญ่ ซ้อนกันเป็นทิวเขาเรียงรายโอบรอบบริเวณศาลาปฏิบัติธรรม และบนยอดเขาสูงตระหง่านนั้น มีถ้ำอยู่บนปลายยอดเขา ซึ่งมีชาวบ้านทางแดงหลายคน ได้เห็นลูกแก้วลอยเหนือฟากฟ้า และลับหายเข้าไปในถ้ำบนยอดผา ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมา และต่างถือว่าเป็นสถานที่มงคล มีความศักดิ์สิทธิ์และเรียกตามๆ กันว่า ผาซ่อนแก้ว พุทธสถานที่มาตั้งในจุดที่โอบล้อมด้วยทิวเขา พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว เพื่อเป็นนิมิตมงคลแก่ชาวบ้านทางแดง และผู้มาปฏิบัติธรรมสืบไป
อุทยานประวัติศาตร์สุโขทัย หรือ เมืองเก่าสุโขทัย ตั้งอยู่นอกตัวเมืองสุโขทัย ห่างจากศาลากลางจังหวัดสุโขทัยไป ตามทางหลวงหมายเลข 12 สายสุโขทัย-ตาก ไปทางทิศตะวันตกประมาณ 12 กิโลเมตร
เดินทางสู่ จังหวัดสุโขทัย พักรับประทานอาหารกลางวัน ณ ร้านก๋วยเตี๋ยวเจ๊แฮ แล้วไปต่อ เมื่อผ่านเข้าเขตเมืองเก่า จะแลเห็นยอดพระเจดีย์แบบต่างๆ อันสง่างามและวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ กำแพงเมืองสุโขทัย ตั้งอยู่ตำบลเมืองเก่า เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เป็นกำแพงพูนดิน 3 ชั้น โดยการขุดเอาดินขึ้นมาถมเป็นกำแพงและพื้นดินที่ขุด ขึ้นยังเป็นคูขังน้ำไว้ ใช้สอยและเป็นกำแพงน้ำขึ้นอีก 2 ชั้น กำแพงด้านทิศเหนือจดทิศใต้ยาว 2,000 เมตร ด้านทิศตะวันตกยาว 1,600 เมตร มีประตูเมือง 4 ประตู ด้านเหนือเรียกว่า “ประตูศาลหลวง” ด้านใต้เรียกว่า “ประตูนะโม” ด้านทิศตะวันออกเรียกว่า “ประตูกำแพงหัก” ด้านทิศ ตะวันตกเรียกว่า “ประตูอ้อ” ภายนอกกำแพงเมืองในรัศมี 5 กิโลเมตร มีโบราณสถานประมาณ 70 แห่ง สร้างขึ้นไว้ในพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์ ได้รับการบูรณะซ่อมแซม โดยกรมศิลปากร ได้รับการจัดตั้งให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO ในปี 2537
อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย เป็นโบราณสถานที่มีศิลปะในยุคสุโขทัย ภายในยังคงเหลือร่องรอยพระราชวังและวัด ช่วงเช้าร่วมกิจกรรมตักบาตรรับอรุณ บริเวณวัดตระพังทอง
ครั้งนี้ ในช่วงเช้าเรารีบตื่นมาชมวิถีชีวิตคนไปเที่ยวแบบง่ายๆ คืออัศจรรย์ธรรมชาติที่แท้จริงแล้วอยู่เรียนรู้ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของผู้คน ที่เมืองนี้นักท่องเที่ยวจะรู้กันเลยว่าผู้คนมีความเป็นมิตรสูงมากๆ เมืองเล็กๆที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรม ตำนานเก่าแก่ของเมืองเก่าสุโขทัย
เมืองนี้เป็นเมืองเก่าแก่นักเดินทางมากมายต่างอยากมาเห็นด้วยตาตัวเอง เยี่ยมชมอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นอดีตราชธานีที่มีอายุยืนยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยคือ 417 ปี มีพระมหากษัตริย์ปกครองจำนวนทั้งหมด 33 พระองค์ ในช่วงระยะเวลาอันยาวนานนี้ บรรพชนของไทยได้สร้างสรรค์ศิลปกรรม สถาปัตยกรรมต่าง ๆ ไว้เป็นอนุสรณ์มากมาย ปรากฏเป็นโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและมรดกทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่า มีพื้นที่โบราณสถานทั้งสิ้นประมาณ 3,000 ไร่
เคยถูกรุกรานจากกองทัพต่างชาติ เมืองนี้มีความน่ารักสามารถเดินเล่นสบายๆ จัดไว้ในแพลนให้เป็นเมืองผ่านคั่นกลางในการเดินทางได้ดีทีเดียว โดยกรมศิลปากรได้ดำเนินการอนุรักษ์โบราณสถานเมืองพระนครศรีอยุธยาภายใต้ชื่อ โครงการอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. 2525 และต่อมาในปี พ.ศ. 2534 อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม พร้อมกับอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย และอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร จากองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO)กลับมามีชีวิตชีวา พร้อมกิจกรรมมากมาย
ขอคุณข้อมูลการเดินทาง
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย Familiarization Trip
โครงการเปิดประตูเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยง ๔ มรดกโลก
ครั้งที่ 1 วันที่ 8-12 มิ.ย. 2561
ครั้งที่ 2 วันที่ 29 มิ.ย. – 3 ก.ค. 2561