TRUE JJAJANG Korean Cuisine ตอบจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ อีกหนึ่งร้านเด็ดย่านเจริญกรุงที่ต้องมาลอง

ร้านอาหารสไตล์คอมฟอร์ฟู้ด ชวนสัมผัสความอร่อยของเมนูและอาหารสไตล์เกาหลี ผ่านบรรยากาศสบายๆ ไปกับร้าน TRUE JJAJANG “ทรูจาจัง” Korean Chinese Cuisine เมนูอาหารแบบฉบับเกาหลีดั้งเดิม เปิดใหม่ย่าน เจริญกรุง
วัดพระยาไกร ใครอยากลองทานอาหารเกาหลีกับรสชาติแบบดั้งเดิม ต้องมาทาน บอกเลย อร่อยเหมือนไปทานที่เกาหลีพร้อมเสิร์ฟเมนูอาหารเกาหลีรสชาติต้นตำรับ วัตถุดิบจากประเทศเกาหลี พร้อมรองรับทุกช่วงเวลามื้ออร่อยจากเมนูจาจังมยอน รสดั้งเดิมเส้นสด มีหลากหลายเมนู เมนูเด็ดของร้านที่ต้องห้ามพลาด

ทรูจาจัง ร้านอาหารเกาหลีย่านเจริญกรุง77 รสชาติเกาหลี จากเชฟเกาหลีเเท้ สูตรต้นตำรับ ทุกเมนูผ่านการคิดค้นสูตรจาก “เชฟเกาหลี” มั่นใจได้ในคุณภาพของวัตถุดิบ และรสชาติเข้มข้นสไตล์เกาหลีแท้ พร้อมการบริการสุดอบอุ่นหัวใจ ในราคาสุดคุ้มค่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปที่ร้าน

สำหรับเมนูจังมยอน ที่เป็นไฮไลท์ไม่ว่าใครที่มา “ทรูจาจัง” แห่งนี้ ต้องสั่งมาลองรับประทาน ที่เสิร์ฟความอร่อยด้วยเส้นสดนุ่มหนึบ คลุกเคล้าซอสรสชาติดั้งเดิมแบบฉบับเกาหลีแท้ๆ


เมนูต่อมาคือ จัมปง เผ็ดร้อน กลมกล่อม เส้นสดเหนียวนุ่มกำลังดี คลุกเคล้ากับเส้นสดที่ทำเอง เครื่องซีฟู้ดเยอะจัดเต็ม รสชาติเข้มข้น ที่ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนชวนหิวตั้งแต่เมนูยังไม่ลงเสิร์ฟที่โต๊ะ อร่อยครบรสได้ในจานเดียว ด้วยราคาประหยัด

ทังซูยุก หมูทอดผัดซอสเปรี้ยวหวาน #ทังซูยุค สูตรเด็ดจากเชฟเกาหลี ด้านนอกกรอบ เนื้อหมูด้านในชุ่มฉ่ำ ซอสเปรี้ยวอมหวานกำลังดีหมูสันนอกทอด ราดซอสรสชาติเปรี้ยวอมหวาน


TRUE JJAJANG : ทรูจาจัง
ในส่วนของบรรยากาศสาขาถูกออกแบบตกแต่งมาให้มีความโมเดิร์นคลาสสิก ด้วยการใช้โทนสีที่ให้ความรู้สึกสว่าง ผ่อนคลาย และอบอุ่นอย่างมีระดับ เพดานมีความสูงโปร่งทำให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการรู้สึกโล่งสบาย มีการใช้เฟอร์นิเจอร์ ผสมผสานกับผ้าบุโซฟา ให้ความเรียบง่าย นั่งสบาย และมีความเป็นธรรมชาติ มีโซนรองรับทั้งชั้น 1 และชั้น2 สำหรับรองรับลูกค้า ซึ่งทั้งสองโซนสามารถรองรับ ลูกค้าที่มาใช้บริการทั้งแบบมาเดี่ยว มาเป็นคู่ ตลอดจนมาเป็นกลุ่ม และอีกหนึ่งความพิเศษของ “ทรูจาจัง” ทั้งอาหารและเครื่องดื่มที่เป็นเอกลักษณ์สไตล์เกาหลี เหมาะสำหรับผู้ที่อยากออก ไปรับประทานข้าวนอกบ้าน หรือสั่งไปทาน
ที่บ้านได้ง่ายๆ มีพื้นที่และยินดีต้อนรับให้ได้ร่วมทานอาหารกับครอบครัวได้อย่างสบายใจอีกด้วย

จุดเริ่มต้นของ จาจังมยอน สืบย้อนกลับไปถึงสมัยราชวงศ์โชซ็อน เมื่อโชปิดอินช็อนเป็นเมืองท่า ชาวจีนจำนวนมากจากชานตงจึงอพยพมาอาศัยในย่านหนึ่งของเมืองซึ่งทุกวันนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่ออินช็อนไชนาทาวน์ชาวจีนเป็นผู้ตั้งร้านอาหารจีนแลซ็อนเะดัดแปลงสูตรแบบดั้งเดิมให้เข้ากับความชอบของชาวเกาหลี

สำหรับเมนูที่เป็นไฮไลท์ไม่ว่าใครที่มา TRUE JJAJANG แห่งนี้ ต้องสั่งมาลองรับประทาน จาจังมยอน หรือบะหมี่ซอสดำรสชาติเข้มข้น วัตถุดิบคุณภาพดีนำเข้าเส้นสดเหนียวนุ่มกำลังดีเส้นสดคลุกเคล้าซอสราดซอส Black bean sauce รสชาติเข้มข้น

จาจังมยอน / จัมปง / ทังซูยุค
เมนูใหม่ของร้าน
เจยุค ผัดหมูแดง / เนื้อบุลโกกิ

อร่อยทุกเมนู พรุ่งนี้เจอกันที่ร้าน หรือสั่งเดลิเวอร์รี่เจอกันที่บ้าน
💚 Lineman ✅Grab 🧡Shopee
True Jjajang Korean Cuisine
ร้านอาหารเกาหลีฟีลตามสั่งร้านเด็ดย่านเจริญกรุง
พิกัด : ถนน เจริญกรุง 77 (ติดกับตึก HP Tower)
https://maps.app.goo.gl/uV9F1Nx3D9zRYdhY9
เปิดทุกวัน 11.00-21.30
โทร. 02-002-2655
Line : @truejjajang

ร้านทรูจาจัง มีที่จอดรถในบริเวณใกล้เคียงเดินไม่ไกลสะดวกสบาย
-ตึกHP รถยนต์ 40 บาท/ชม.
-จักรยานยนต์ 20 บาท
-มวยไทย รถยนต์ 30 บาท/ชม.

#truejjajang #นึกถึงอาหารเกาหลีนึกถึงทรูจาจัง #ทรูจาจัง
#ร้านเด็ดบอกต่อ #koreafood #ร้านอาหารใกล้ฉัน
#ร้านอาหารเจริญกรุง #จาจังมยอน #จัมปง #ทังซูยุก
#koreanfood #deliciousfood #toptotravel

ฤทธิชัย รุจรดาวรรณ Executive Chef รอยัล เมืองสมุย วิลล่า

ฤทธิชัย รุจรดาวรรณ (เชฟบ่าว)  Executive Chef รอยัล เมืองสมุย วิลล่า นำเสนออาหารไทยพื้นบ้านภาคใต้ อาหารปักษ์ใต้แม้จะเป็นอาหารที่อร่อย น่าลิ้มลอง แต่สิ่งหนึ่งที่ประทับใจผู้คนคือความเผ็ดร้อนของรสชาติอาหารผู้คนในภาคใต้นิยมรสอาหารที่เผ็ดจัด เค็ม เปรี้ยว แต่ไม่นิยมรสหวาน รูปแบบของอาหารใต้ที่ใหม่และอาจจะหาที่ไหนไม่ได้ในเกาะสมุย และตอนนี้ได้รับความนิยมมาก

เชฟบ่าว คนใต้ที่ดูเรื่องอาหารโรงแรม Royal Muang Samui Villas ทำให้เชฟเห็นความหลากหลายของอาหารใต้ที่เชฟบ่าวรับหน้าที่ออกแบบเซตเมนู เชฟยังยืนหนึ่งในการ ปรับเปลี่ยนเมนู ทุกเดือน  อาหารประจำถิ่นภาคใต้สูตรพื้นบ้านขนานแท้ของจังหวัดจังหวัดสุราษฎร์ธานี รสเข้มข้นจัดจ้านถึงเครื่อง การทำอาหารและเมนูพื้นถิ่น เหมือนการทดลอง เหมือนแม่ไปเจอสูตรอาหารมาก็อยากลอง อาหารเป็นการบอกกล่าวเล่าต่อเทสต์ ชิม การปรุง แต่รสชาติสอนกันไม่ได้เพราะต่างคนต่างชอบอาหารคนละรสและมีความแตกต่าว โดยใช้วิธีการทำอาหารแบบดั้งเดิมการทำอาหารแบบใหม่ๆ ถ้ามันทำให้ควบคุมรสชาติแบบที่ต้องการได้ดีกว่า

“เวลาเราไปหาวัตถุดิบ ชาวบ้านเขาก็จะสอนวิธีกินด้วย เราก็คิดเมนูจากที่ชาวบ้านเขาสอนเขาทำให้กิน อาหารบางอย่างก็เป็นอาหารเฉพาะที่ที่นั้นจริงๆ”

Spice Zone Beach Restaurant 
ความเป็นเลิศด้านการทําอาหารพร้อมกับการรับประทานอาหารริมชายหาด แนวคิดของของเชฟ ผสมผสานรสชาติที่อุดมสมบูรณ์นำอาหารไทยเข้ากับความสดใหม่ของอาหารทะเลที่มาจากท้องถิ่น อาหารอิตาเลียนที่แสนอร่อย และสัมผัสของรสชาตินานาชาติ ฝีมือเชฟฝีมือ อร่อยไทยที่ใช้สูตรแท้และวัตถุดิบ
เกรดพรีเมี่ยม ขึ้นชื่อของท้องถิ่น ตั้งแต่แกงที่มีกลิ่นหอมไปจนถึงเมนูผัดต่างๆ  แต่ละจานเป็นผลงานชิ้นเอกด้านการทําอาหารที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมอาหารที่มีชีวิตชีวาของ ประเทศไทย

สําหรับการจองที่ https://www.muangsamui.com/royalmuangsamuivillas/

Step into a world of nocturnal splendor at Royal Muang Samui Villas,
where the night air is filled with luxury 

Spice Zone Beach Restaurant
Spice Zone Beach Restaurant at Royal Muang Samui Villas, where culinary excellence meets stunning beachside dining. Our concept blends the rich flavors of Royal Thai cuisine with the freshness of locally sourced seafood, tantalizing Italian dishes, and a touch of international flair.
Indulge your senses as our skilled chefs craft Royal Thai delicacies using authentic recipes and premium ingredients. From aromatic curries to savory stir-fries, each dish is a culinary masterpiece that reflects Thailand’s vibrant food culture.

#RoyalMuangSamuiVillas #KohSamui #ChoengMonBeach
#RediscoverSamui #SeeYouSoonSamui #Resort #BeachfrontResort
#Thailand #amazingthaialnd #toptotravel

GAAYA by Oasis Spa สปาหรู ราคาไม่แพง

กายา สปาหรู ราคาไม่แพง GAAYA by Oasis Spa (Sukhumvit 39)
ใครอยู่ใกล้ย่าน สุขุมวิท 39 แวะมาที่ GAAYA by Oasis Spa อีกหนึ่งสปาหรูที่อยู่กลางใจเมือง แค่เดินเข้ามารู้สึกผ่อนคลายกับบรรยากาศแล้ว แทบไม่น่าเชื่อเลยว่ามีสปาที่บรรยากาศดีและเงียบสงบบรรยากาศอบอุ่น เหมาะกับการหลีกเร้นความวุ่นวายมาพักใจอย่างยิ่ง หากใครที่ชอบทั้งนวดไทยและน้ำมัน แนะนำสาขายน้องใหม่กายา บาย โอเอซิสสปา

GAAYA อีกหนึ่งสปาภายใต้ Oasis Spa โปรแกรม Office Syndrome Massage ของที่นี่น่าจะตอบโจทย์มนุษย์หน้าจอกันไม่น้อย ด้วยการเน้นนวดคลายความตึงกล้ามเนื้อคอบ่าไหล่จากการนั่งทำงานเป็นเวลานาน หรือถ้าใครที่อยากเน้นนวดน้ำมันที่นี่ก็มีโปรแกรม Relax GAAYA (60 นาที) ที่นวดครบจบทั้งผิวหน้าและผิวกายในหนึ่งเดียว กายาสปาสุดหรู นวดเพื่อสุขภาพ เปิดให้บริการทั้งหมด 11 ห้อง /นวดสปาสองชั้น ทั้งเตียงคู่ เตียงสำหรับนวดไทย ห้องอาบน้ำ และห้องน้ำ ในตัว รองรับลูกค้าได้สูงสุด 18 ท่าน ภายใน ห้องคือไพรเวท ถูกออกแบบและตกแต่งในโทนสีที่ช่วยมอบความรู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลายเป็นส่วนตัว ลูกค้าส่วนมากเป็นชาวต่างชาติเเละคนไทย เรียกว่ามาทีเดียวได้ดูแลครบจบตั้งแต่หัวจรดเท้าใครเริ่มมองหาสปาไทยแท้ๆ ชวนไปนวดผ่อนคลายจากงานผสมผสานกับที่เป็นการผสมผสานทั้งการนวดแผนไทยกับการนวดอโรมาเข้าด้วยกัน ความโดดเด่นการตกแต่งร้านสวยแบบฉบับโอเอซิสสปา

สปาตกแต่งสไตล์เป็นสไตล์ Thai Contemporary & Modern ตอบโจทย์ใครที่มองหาประสบการณ์สปารูปแบบใหม่ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ – น้ำมันนวด Gaaya by Oasis Spa มีส่วนผสมหลัก (Base oil) คือ Jojoba oil, Sweet almond, Safflower oil เพื่อบำรุงผิว ช่วยทำให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื่น บรรเทาอาการปวดเมื่อยของกล้ามเนื้อและอาการบวมช้ำ คุ้มค่ากับเวลาที่มาแน่นอน – กลิ่นของน้ำมันนวดมีให้เลือก 5 กลิ่น ได้แก่ 1. Oriental Beauty 2. Uniquely Thai 3. Lanna Exotic
4. Full Bloom 5. Be Organic Coconut 100% GAAYA by Oasis Spa

บริการทรีตเมนต์สำหรับผิวกาย นวดตัว นวดหน้า แถมบรรยากาศยังผ่อนคลายสบายตา ที่ให้คุณเลือกโปรแกรมที่ชอบได้ตามใจ ไม่ว่าจะเป็น แพคเกจแนะนำ

1. Relax Gaaya 2 hrs ผสมผสานเพื่อให้ร่างกายผ่อนคลายในแบบกายาด้วยการนวดน้ำมันหอมระเหยอุ่นๆ และการนวดใบหน้า เสร็จสิ้นด้วยการนวดแบบกดจุดสร้างความผ่อนคลายให้ลูกค้าให้ความรู้สึกผ่อนคลายจนเคลิ้มหลับไปเลย

2. Release Gaaya 2.5 hrs เน้นคลายกล้ามเนื้อที่เมื่อยล้า การนวดออฟฟิศซินโดรมเพื่อให้บริเวณกล้ามเนื้อตามส่วนต่างๆของออฟฟิศซินโดรมได้คลายจากการหดเกร็งและความตึงเครียดสะสมที่มีมานาน ได้ผ่อนคลายอย่างแท้จริงและยังมีการประคบเพื่อช่วยลดการปวดบวมได้เป็นอย่างดี

3. Stress away Gaaya 3 hrs ผสมผสานการนวดเท้าเพื่อสุขภาพและการยืดเส้นด้วยการผสมผสานการนวดไทยโยคะและการนวดออฟฟิศซินโดรม สำหรับคนที่ต้องการนวดผ่อนคลายทุกส่วน และใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติเป็นหลัก

4. Sabai Sabai Gaaya 3 hrs ปรณิบัติกายา ด้วยการผสมผสานการนวดไทยเพื่อสุขภาพ เน้นการ กด คลึง บีบ กดจุด ประคบด้วยสมุนไพร และการนวดน้ำมัน เป็นการนวดผ่อนคลายด้วยมือผสานกับประสิทธิภาพของน้ำมัน ผ่อนคลายทั่วร่างกาย เสร็จสิ้นด้วยการทำหน้ากดจุดนวดหน้าด้วยน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ซึ่งมีประโยชน์ในการขจัดความเครียดและกระตุ้นการเติมออกซิเจนของผิวด้วยการต่อต้านริ้วรอย

กายา บายโอเอซิสสปา
สถานที่ : ซอยสุขุมวิท 39 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ – มีที่จอดรถให้บริการ 8 คัน – ตั้งอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์ – เปิด/ปิด บริการทุกวัน 10.00-22.00

ช่องทางการติดต่อ กายา บายโอเอซิสสปา Gaaya by Oasis Spa
เบอร์โทร 02-262-2133
Facebook Fanpage : Gaayaspabyoasis
Website: https://oasisspa.net/destination/bangkok/gaaya39/
Instagram: https://www.instagram.com/gaayabyoasis/

ถอดรหัสความสำเร็จ เซ็น เรสเตอร์รอง กับการเติบโตในตลาด ‘บุฟเฟต์’ ตลอด 3 ปี

เซ็น เรสเตอร์รอง หนึ่งในธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น เครือ เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป เปิดดำเนินการครั้งแรก เมื่อปี 2534 ให้บริการในรูปแบบ A la carte โดยสามารถครองใจผู้บริโภคอย่างยาวนานมาตลอด 32 ปี ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มครอบครัว ปัจจุบันมีสาขารวมทั้งหมด 55 สาขา ครอบคลุมทั่วประเทศไทย

เทรนด์ของผู้บริโภคเปลี่ยน – ธุรกิจปรับตัว
จุดเริ่มต้นการให้บริการบุฟเฟต์ ของ เซ็น เรสเตอร์รอง เกิดขึ้นในปี 2564 ในช่วงหลังประกาศคลายล็อคดาวน์ ประกอบกับข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคที่โหยหาการทานบุฟเฟต์ มองหาความคุ้มค่า เน้นความหลากหลายของเมนูอาหาร ทำให้ สถิติการค้นหาบน Google Search ในช่วงเวลานั้นเพิ่มขึ้นถึง 430% และด้วยกระแสการบริโภคแบบบุฟเฟต์ของคนไทยมีทิศทางเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ทาง เซ็น เรสเตอร์รอง ตัดสินใจเพิ่มอีกหนึ่งรูปแบบการให้บริการ ประเภท บุฟเฟต์

การเติบโตของ ZEN Grand Premium Buffet ตลอดระยะเวลา 3 ปี

ในปี 2564 ร้านอาหารญี่ปุ่นเซ็น เรสเตอร์รอง ปรับ 16 สาขาในขณะนั้น เพิ่มการให้บริการในรูปแบบบุฟเฟต์ รองรับความต้องการของลูกค้าที่ชื่นชอบการทานบุฟเฟต์ วัตถุดิบพรีเมียม มากกว่า 80 เมนู และการให้บริการที่มีคุณภาพ ภายใต้การวางกลยุทธ์ Value Promotion เริ่มต้น 599+ เสิร์ฟความคุ้มค่าระดับพรีเมียม ซึ่งภายในปีแรกก็ได้รับกระแสการตอบรับเป็นอย่างดี เป็นอีกหนึ่งแบรนด์บุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่นที่หลายคนให้ความสนใจและนึกถึง โดยสามารถขยายฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่ ช่วงอายุ 26 – 45 ปี ที่เข้ามาใช้บริการ ซึ่งเป็นวัยที่มีกำลังซื้อค่อนข้างสูง และแตกต่างจากกลุ่มลูกค้าเดิม จนสร้างรายได้เติบโตขึ้นกว่า 23%
ในปี 2565 ต่อมาในปีที่ 2 ทางแบรนด์ยังได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการใช้กลยุทธ์การทำการตลาดใหม่อีกครั้ง ผ่านการ Revamp Menu ปรับ Mood & Tone เมนูใหม่ทั้งหมดให้มีความพรีเมียมกว่าเดิม พร้อมกับการสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ จากเดิมที่มี 80 เมนู เพิ่มขึ้นเป็น 130 เมนู ในราคาเริ่มต้นเพียง 599+ ชูความคุ้มค่าของวัตถุดิบ คุณภาพอาการระดับพรีเมียม เกินราคาที่จ่าย ยกขบวนแซลมอนกว่า 20 เมนู ทั้งชาชิมิ ซูชิ และเนื้อ สั่งได้ไม่อั้น พร้อม
วาไรตี้เมนูอื่น ๆ ทั้งเมนูเย็น และเมนูร้อน รวมถึงเมนูของทอด เปิดให้บริการในรูปแบบบุฟเฟต์ รวม 29 สาขา

ซึ่งในปีนี้แบรนด์สามารถขยายฐานลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ได้เพิ่มขึ้นอีกกว่า 120% สร้างรายได้การเติบโต 41% ในปี 2566 เซ็น เรสเตอร์รอง เน้นกลยุทธ์การขยายสาขาเป็นหลัก เป็นไปตาม Growth Strategy ขององค์กร โดยการเปิดสาขาบนพื้นที่ใหม่ ๆ มุ่งเน้นการขยายไปที่น่านน้ำใหม่ เช่น ในพื้นที่ต่างจังหวัด ทั้งเมืองหลัก และเมืองรอง เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงการกินบุฟเฟต์แบบพรีเมียมได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งมีการขยายสาขาอีก 7 สาขา รวมกว่า 55 สาขา ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยสาขาที่ให้บริการบุฟเฟต์มีทั้งหมด 37 สาขา

คุณมยุรี จิตรกร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการตลาด บริษัท เซ็น คอปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ความสำเร็จของ เซ็น เรสเตอร์รอง หลังจากเปิดให้บริการในรูปแบบบุฟเฟต์มาตลอดระยะเวลา 3 ปี ที่ผ่านมา สามารถขยายฐานลูกค้าในกลุ่ม GEN Y – GEN Z ที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้นกว่า 200% แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงของแบรนด์ในตลาดบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่น และการเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกปี ทั้งยอดขายและการเพิ่มจำนวนสาขาที่ให้บริการบุฟเฟต์ได้มากขึ้นในทุกปี แต่ทั้งนี้ทางแบรนด์ก็ยังคงรักษามาตรฐาน โดยไม่หยุดพัฒนาต่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเมนู วัตถุดิบ และการให้บริการที่มีคุณภาพระดับพรีเมียมในทุกองค์ประกอบ หวังสร้าง Brand Royalty การมีส่วนร่วมกับแบรนด์ และตัดสินใจกลับมาใช้บริการซ้ำแบบต่อเนื่อง คาดเติบโตกว่า 13% ภายในสิ้นปี”

โดยเป้าหมายในปี 2567 คือการ Revamp Menu ใหม่อีกครั้ง ความตั้งใจที่จะสร้าง Product ที่ดึงดูดกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ให้มากขึ้นอีก โดยทางแบรนด์ได้มีการใช้ Data Analytic วิเคราะห์พฤติกรรมและทำความเข้าใจผู้บริโภคในกลุ่มนี้ เพื่อนำมาวางแผนการตลาด รวมถึงการคัดสรรเมนูให้ตอบโจทย์มากที่สุด ซึ่งพบว่า
-กลุ่ม GEN Y ชอบทานเมนูเย็น เช่น ซาชิมิ ซูชิ โดยเมนูแซลมอนจะได้รับผลตอบรับที่ดีมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นเมนูไหน
-กลุ่ม GEN Z มองหาความคุ้มค่ามากกว่ากลุ่มอื่น มีการสั่งเมนูซาชิมิแซลมอล ซูชิแซลมอน มากกว่ากลุ่มอื่น
-ลูกค้ากว่า 70% จบท้ายมื้อด้วยขนมหวาน

ทำให้การ Revamp Menu ใหม่ในปีนี้ เกิดจากความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง สร้างการมีส่วนร่วมกับแบรนด์ และตอบโจทย์ความต้องการในการเลือกสรรเมนูอาหาร โดยความพิเศษของเมนูไลน์อัพใหม่ ยกระดับความพรีเมียมไปอีกขั้น อัดแน่นไปด้วยความคุ้มค่ายิ่งขึ้น วัตถุดิบหลากหลายขึ้น เมนูที่มากขึ้นรวมกว่า 179 เมนู โดยเมนูใหม่มากขึ้นถึง 49 เมนู แต่ราคาเท่าเดิม ไม่บวกเพิ่ม

Tier 599+ Sushi & Aburi Lovers : อัดแน่นกับขบวนซูชิ และอะบุริที่หลากหลายเมนู มากกว่า 77 เมนู โดยใน Tier เริ่มต้นนี้มีเมนูใหม่ถึง 21 เมนูเลยทีเดียว ทั้งซูชิท้องปลาแซลมอนทอดซอสสไปซี่มิโสะ, ซูชิท้องปลาแซลมอนทอดซอสสไปซี่ ซูชิอิกะ, ซูชิยำครีบหอยเชลล์น้ำมันงา, ซูชิแมงกะพรุนกิมจิ, ซูชิทาโกะวาซาบิ

Tier 799+ Sashimi & Maki Lovers : ใครที่ชื่นชอบซาชิมิห้ามพลาด ทั้งเอ็นกาวะ ฮามาจิ โฮตาเตะ อูนางิ อากามิ และใน Tier นี้ยังเพิ่มหมวดที่หลากหลายมากขึ้น กับ Maki และ Sushi Don ทั้งแซลมอนบอมบ์มากิ ข้าวหน้าแซลมอนสับ โรลกุ้งคัตสึ โรลปูอัดครั้นชี่เทมปุระ และเมนูของหวานเจลลี่ ตบท้ายมื้อแบบฉ่ำ รวมกว่า 123 เมนู ซึ่งมีเมนูใหม่กว่า 32 เมนู

Tier 1199+ Premium Beef & Truffle lovers : พบกับเมนูเนื้อเกรดพรีเมียม ทั้งรูปแบบย่าง และกะทะร้อน, เมนู Truffle สุดพรีเมียม โดยเฉพาะ ซุปทรัฟเฟิล เสิร์ฟร้อนหอมละมุน และความหลากหลายเมนูซาชิมิเกรดพรีเมียม ชิ้นใหญ่ เต็มคำ ทั้งเอ็นกาวะ ฮามาจิ โฮตาเตะ อูนางิ อากามิ และเมนูบราวนี่ ที่เป็นของหวานด้วย รวมกว่า 179 เมนู เมนูใหม่รวมแล้วกว่า 49 เมนู

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/Zenjapaneserestaurant
หรือ Line @ZENGroupTH

Austrian Lifestyle Week 2024

Austrian Lifestyle Week 2024 สัปดาห์แห่งการเฉลิมฉลองทางวัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และความยั่งยืนของออสเตรีย กิจกรรมตลอดทั้งสัปดาห์ที่จะชูความโดดเด่นทางด้านอาหาร ไวน์ และแฟชั่นของออสเตรีย พร้อมฉลองครบรอบความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ออสเตรีย

กรุงเทพฯ 21 มีนาคม 2567 – สถานเอกอัครราชทูตออสเตรีย กรุงเทพฯ ร่วมกับสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติออสเตรีย (Austrian National Tourist Office) และสถานเอกอัครราชทูตออสเตรียแผนกพาณิชย์ (Advantage Austria) จัดงาน ‘Austrian Lifestyle Week 2024’ โดยมี 3 ธีมที่เป็นไฮไลท์สำคัญ (ศาสตร์การทำอาหาร ไวน์ แฟชั่น) เพื่อเน้นย้ำถึงความมีชีวิตชีวาของออสเตรีย และวัฒนธรรมอันอุดมสมบูรณ์ ตั้งแต่วันที่ 18-24 มีนาคม 2567 มีการจัดงานต่าง ๆ มากมาย เพื่อเฉลิมฉลองวันครบรอบความสัมพันธ์ของประเทศไทยและออสเตรีย รวมถึงความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ 155 ปีระหว่างทั้งสองประเทศ และ 70 ปีของภารกิจประจำถิ่นในกรุงเทพฯ และเวียนนา ตามลำดับ

ไฮไลท์ของงาน Austrian Lifestyle Week 2024 ได้แก่ การแข่งขันทำอาหารกระชับมิตร (20 มีนาคม) ระหว่างเชฟชาวออสเตรีย Max Stiegl และเชฟชาวไทย มาโนช พึ่งพร้อม กิจกรรมชิมไวน์สุดพิเศษ (21 มีนาคม) เฉพาะผู้ที่ได้รับเชิญเท่านั้น) และแฟชั่นโชว์ที่นำสมัย (22 มีนาคม)

เชฟมาโนชเชื่อว่าหัวใจของอาหารไทยคือการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างรสชาติดั้งเดิม วัตถุดิบคุณภาพ และเทคนิคการทำอาหารขั้นสูง ความหลงใหลของเขาคือการค้นหาการผสมผสานที่ลงตัวและความสมดุลของรสชาติไทยที่มีทั้งรสหวาน เผ็ด เปรี้ยว และเครื่องเทศต่าง ๆ โดยการใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่น

ในขณะที่เชฟ Max สร้างสรรค์อาหารออสเตรียแบบดั้งเดิมโดยการผสมผสานประเพณีการทำอาหารฝรั่งเศสควบคู่ไปกับอาหารสไตล์บูร์เกนลันด์ (Burgenland) ที่ยั่งยืน ทำให้เกิดความสร้างสรรค์ในอาหารออสเตรียแบบดั้งเดิม เทศกาล Sautanz (หรือ ‘Sow Dance’) ประจำปีของเขาถือเป็นเรื่องในตำนาน นั่นคือการนำหมูมาประกอบอาหารในทุกส่วนเพื่อเป็นการแสดงถึงการรู้คุณของวัตถุดิบ

ชาว Epicureans รวมถึงแอนโทนี บูร์เดน (Anthony Bourdain) ผู้ล่วงลับไปแล้ว ได้เดินทางจากทั่วทุกมุมโลกเพื่อลิ้มลองอาหารจานพิเศษที่เป็นนวัตกรรมใหม่ของเชฟ Max เขาให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับวัตถุดิบตามฤดูกาลของภูมิภาคในการรังสรรค์เมนูของเขา ร้านอาหารของเชฟ Max เสิร์ฟเมนูปลาสดจากทะเลสาบ Neusiedl ที่อยู่ใกล้เคียง เนื้อสัตว์ป่าจากเทือกเขา Leitha เนื้อแกะจากฟาร์มของเขา สัตว์ปีกจากเพื่อนบ้านใกล้เคียง และสมุนไพรจากสวนส่วนตัวของเขาเอง

เอ็มมานูเอล เลห์เนอร์-เทลิค (Emanuel Lehner-Telic) ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติออสเตรีย กล่าวว่า “การแข่งขันทำอาหารไทย-ออสเตรียจะเปิดโอกาสให้คนไทยได้ค้นพบประเพณีการทำอาหารอันยอดเยี่ยมของออสเตรีย การจัดงานครั้งนี้เป็นการเชิญชวนให้ทุกคนได้เพลิดเพลินไปกับกิจกรรมหลากหลายภายในงานและสัมผัสถึงเสน่ห์ของประเทศออสเตรีย ไม่ว่าจะเป็นอาหารเลิศรส ภูมิประเทศที่น่าตื่นตาตื่นใจ ตลอดจนศิลปะและวัฒนธรรมที่มีอยู่มากมาย การท่องเที่ยวด้านอาหารของออสเตรียกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากความขึ้นชื่อเรื่องอาหารที่มีคุณภาพสูงและความใส่ใจด้านความยั่งยืน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากประเทศในแถบยุโรปหลายแห่ง”

นอกจากนี้ มิชลิน ไกด์ยังได้ประกาศเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าจะกลับมาเยือนออสเตรียอีกครั้ง พร้อมกับการคัดเลือกระดับชาติที่จะเกิดขึ้นในปี 2568 รางวัลนี้ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เชฟ Max รับตำแหน่งเชฟที่มีอายุน้อยที่สุดในโลก ที่ได้รับดาวมิชลิน ด้วยวัยเพียง 20 ปี และน่าจะโดนใจนักชิมชาวไทยที่ติดตามมิชลิน ไกด์ เห็นได้จากร้านอาหารหลากหลายแห่งในกรุงเทพฯ และภาคใต้ของประเทศไทยที่อยู่ในระดับดาวมิชลิน

จากอาหารไปสู่วงการแฟชั่น งานแสดงแฟชั่นโชว์ออสเตรียที่จะจัดขึ้น (Austrian Fashion Show) จะเน้นเทรนด์สไตล์ล่าสุดในโอต์กูตูร์ (Haute couture) โดยมีคอลเลกชันพิเศษจาก Conches, Plural และ Thang de Hoo จากออสเตรีย และคุณเอก ทองประเสริฐ (Ek Thongprasert), Wonder Anatomie และ Sirintra จากประเทศไทย การแสดงนี้จะเปิดโอกาสให้ผู้ที่มาร่วมงานได้ค้นพบการออกแบบและเนื้อผ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและก่อให้เกิดความยั่งยืนจากทั้งสองประเทศ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์แฟชั่นระดับพรีเมียมอื่น ๆ อีกมากมาย

Austrian Lifestyle Week 2024 ยังตรงกับวันครบรอบ 155 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับออสเตรีย และครบรอบ 70 ปีของภารกิจประจำกรุงเทพฯ และเวียนนา ไทยและออสเตรียเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2412 (ค.ศ. 1869) ด้วยการลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพ การค้า และการเดินเรือ งานนี้ยังเป็นเครื่องเตือนใจว่าการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมสามารถกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีและปูทางไปสู่ความร่วมมือที่มากขึ้นในด้านต่าง ๆ ระหว่างสองประเทศอีกด้วย

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.advantageaustria.org/th/events/next/en

สารส้ม นวตกรรม ภูมิปัญญาไทยยกระดับเทียบเท่านานาชาติ

เพราะแนวคิดกล้าคิด กล้าทำ กล้าเล่น ของคนขี้แพ้ รติรส จุลชาติ สาววิศวกรเคมี จึงนำธุรกิจเดิมของครอบครัวที่รู้จักดี คือ สารส้ม มาต่อยอดทางธุรกิจ สร้างแบรนด์รติ ที่เป็นผลิตภัณธ์ในกลุ่มดูแลรักษาสุขภาพที่รักษาภูมิปัญญาไทยและสิ่งแวดล้อมสร้างแบรนด์ RATI (ระ-ติ) ที่แปลว่าความรัก สร้างผลิตภัณฑ์จากความรัก ด้วยส่วนผสมที่ดีที่สุดจากธรรมชาติ ที่ไม่ก่อให้เกิดการแพ้และระคายเคืองต่อร่างกายของเราและทุกคนที่เรา “รัก”

รติรส จุลชาติ Founder & Chief Executive Officer เล่าถึงที่มาของการนำสารส้มมาผสมผสานนวตกรรมใหม่ ใช้เวลาทดลองนานกว่า 3 ปี เพื่อปรับปรุงให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกะบผู้ใช้และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ”ครอบครัว ทำโรงงานเคมีและแร่ธาตุ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเคมีและแร่ธาตุต่างๆ และสารส้มก็เป็นหนึ่งในแร่ธาตุที่คุ้นเคยมาตลอด ตัวเองเป็นคนที่ชื่นชอบใช้สารส้มเองจริงๆแต่เขินทุกครั้งที่เวลานำสารส้มเป็นก้อนพกติดตัวเวลาเดินทางกับเพื่อนไปยังที่ต่างๆ ประกอบกับสังเกตเห็นว่า ผลิตภัณฑ์จากสารส้มระงับกลิ่นกายในท้องตลาดส่วนใหญ่นั้น จะเป็นเกรดที่ใช้บำบัดน้ำ ไม่ใช่เกรดที่สัมผัสอาหารได้ (Food Grade) ที่มีความปลอดภัยสูงกว่า จึงได้คิดค้นและพัฒนาสเปรย์ระงับกลิ่นกายจากสารส้มขึ้นมาเป็นผลิตภัณฑ์อย่างแรก จากการทดลองใช้เองและคำแนะนำจากผู้ใช้จริง จึงเกิดความคิดพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยที่สุด โดยคำนึงถึงความเป็นธรรมชาติและความปลอดภัยต่อร่างกายเป็นหลัก เพราะรติ (
) เชื่อว่า อะไรที่เราทานได้ก็ย่อมต้องปลอดภัยต่อผิวหนังและร่างกายของเรา
ดังนั้น วัตถุดิบที่เราได้เลือกนำมาใช้นั้นจึงเป็นเกรดที่ดีที่สุด สามารถใช้ในอุตสาหกรรมอาหารได้ (Food Grade) ทำให้ปลอดภัย ไม่ระคายเคืองต่อผิวหนัง และระงับกลิ่นได้ดีที่สุด โดยไม่มีส่วนผสมอื่นที่ก่อให้อันตรายต่อร่างกายของคุณ เช่น แอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือ น้ำมันสังเคราะห์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองภายใต้วงแขนและเกิดรอยดำที่ไม่สม่ำเสมอ อาจทำให้เกิดคราบเหลืองบริเวณเสื้อผ้า รวมถึงไม่มีกลิ่นที่จะรบกวนน้ำหอมราคาแพงที่ฉีดลงบนตัวอีกด้วย

ทั้งนี้จากแนวคิดทั้งหมดของรติ จึงได้พัฒนาออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ rati Natural Deodorant Spray สเปรย์ระงับกลิ่นกายสูตรธรรมชาติ และ rati Happy Feet
สเปรย์ระงับกลิ่นกายบริเวณเท้าและรองเท้า ที่ได้คัดสรรวัตถุดิบที่ดีที่สุดจากธรรมชาติ เพื่อความปลอดภัยต่อร่างกายของผู้บริโภค

RATI Natural Deodorant Spray สเปรย์ระงับกลิ่นกายสูตรธรรมชาติ จากสารส้มเกรดที่ปลอดภัยที่สุด ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งแบคทีเรีย พร้อมความรู้สึก สดชื่น จากว่านหางจระเข้ และสารสกัดใบเปปเปอร์มิ้นออร์แกนิค ที่ช่วยปกป้องผิวจากการระคายเคือง พร้อมถนอมความชุ่มชื้น ให้ผิวเนียนนุ่ม สุขภาพดี ด้วยความสดชื่นจากน้ำแร่ธรรมชาติของผืนป่าเชียงใหม่ โดยปราศจากสารเคมีสังเคราะห์ ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และน้ำหอม จึงไม่ก่อให้เกิดการแพ้และการระคายเคือง “ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น” จึงไม่ทิ้งคราบเหลืองบนเสื้อผ้าและไม่มีกลิ่นรบกวนน้ำหอมที่คุณใช้

RATI Happy Feet สเปรย์ระงับกลิ่นกายบริเวณเท้าและรองเท้า สูตรธรรมชาติ จากสารส้มเกรดที่ปลอดภัยที่สุด ประกอบด้วยน้ำแร่ธรรมชาติ ให้ความรู้สึกเย็นสดชื่นจากส่วนผสมของสารสกัดน้ำมันจากใบเปปเปอร์มิ้น และสารสกัดจากชาดำ ที่มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ยับยั้งแบคที่เรียที่เป็นแหล่งกำเนิดของกลิ่นบริเวณเท้า โดยปราศจากส่วนผสม ของแอลกอฮอล์และสารเคมี สังเคราะห์ทำให้ไม่ทำให้เกิด คราบสกปรกและความเสียหายแก่หนังและรองเท้าที่มีความบอบบางสูงของคุณ นอกจากสารส้มจะช่วยยับยั้งแบคทีเรียแล้ว ยังมีคุณสมบัติที่สามารถช่วยในเรื่องป้องกันการส้นเท้าแตกได้อีกด้วย

RATI เชื่อว่าภูมิปัญญาสารส้มในเรื่องการระงับกลิ่นกายที่มีมาตั้งแต่ดั้งเดิมนั้นมีประสิทธิภาพ ความปลอดภัยตามแบบธรรมชาติที่ดีมากอยู่แล้ว RATI จึงขอเป็นส่วนหนึ่งที่นำวิถีภูมิปัญญาบรรพบุรุษไทย มาเล่าใหม่ในยุคโมเดิร์น และมุ่งมั่นที่จะเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายจากธรรมชาติ “เพราะร่างกายที่ธรรมชาติให้มา ให้ธรรมชาติดูแล”

พบกับสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รักโลก รักสุขภาพ ในงาน STYLE Bangkok 2024 งานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ชั้นนำของภูมิภาคเอเชีย ภายใต้ธีม “CHIC NATURE” ตั้งแต่วันนี้ – 24 มีนาคม 2564 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พบกับสุนทรียภาพและการใช้ชีวิตที่ยั่งยืนผสมผสานกันอย่างลงตัวในผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ ของขวัญ ของแต่งงานบ้าน แฟชั่น ไปจนถึงหัตถกรรมท้องถิ่นที่ประณีตและมีเอกลักษณ์โดดเด่น

#toptotravel

STYLE Bangkok 2024

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้เกียรติเป็นประธาน ในพิธีเปิด “งานแสดงสินค้า STYLE Bangkok 2024 ” ในวันพุธที่ 20 มีนาคม 2567 เวลา 10.00น. โดยมีนายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นำทีมให้การต้อนรับ ณ ฮอลล์ 4 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

STYLE Bangkok 2024 มีกำหนดจัดระหว่างวันที่ 20-24 มีนาคม 2567 แบ่งเป็นวันเจรจาธุรกิจ วันพุธที่ 20 – ศุกร์ที่ 22 มีนาคม 2567 เวลา 10.00-18.00 น. และวันจำหน่ายปลีกวันเสาร์ที่ 23-อาทิตย์ ที่ 24 มีนาคม 2567 เวลา 10.00-21.00 น. ณ ฮอลล์ 1-4 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ผู้ที่สนใจสามารถชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.stylebangkokfair.com Facebook/Instagram/TikTok : Style Bangkok Fair
หรือโทรสายตรงการค้าระหว่างประเทศ 1169

เครือ รพ. พญาไท-เปาโล รุกตลาด EEC เปิดโรงพยาบาลใหม่ รพ. พญาไทศรีราชา 2

ชลบุรี – 19 มีนาคม 2567- เครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล เดินหน้าขยายการให้บริการด้านการแพทย์ในพื้นที่ภาคตะวันออก ล่าสุดประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โรงพยาบาลพญาไทศรีราชา 2 สอดรับกับนโยบายภาครัฐ ที่ต้องการผลักดันให้ประเทศไทยโดยเฉพาะเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นศูนย์กลางการแพทย์ครบวงจรของภูมิภาคอาเซียน

โรงพยาบาลพญาไทศรีราชา 2 เป็นโรงพยาบาลทั่วไป สามารถรองรับผู้ป่วยนอกได้มากถึง 1500 คนต่อวัน และผู้ป่วยในจำนวนรวมทั้งสิ้น 113 เตียง โดยโรงพยาบาลแห่งนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการในการให้บริการด้านสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ชลบุรีและใกล้เคียง โดยสืบเนื่องมาจากความสำเร็จของโรงพยาบาลพญาไทศรีราชาสาขาแรก ที่ให้บริการแก่ประชาชนมาเป็นเวลากว่า 28 ปี เป็นโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ ในเครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล กลุ่ม BDMS ให้บริการด้านการแพทย์เฉพาะทางในหลากหลายสาขา โดยเน้นการบริการที่ครอบคลุมและมีคุณภาพสูงสุดต่อประชาชนในพื้นที่ ทั้งผู้ป่วยทั่วไปและผู้ประกันตน จนเป็นที่ไว้วางใจและยอมรับในเขตอุตสาหกรรม EEC (Eastern Economic Corridor) ซึ่งเป็นเขตพัฒนาพิเศษที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ

นายอัฐ ทองแตง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล เปิดเผยว่า “โรงพยาบาลพญาไทศรีราชา เป็นโรงพยาบาลที่ทางกลุ่มมุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพการให้บริการรักษาผู้ป่วยมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเล็งเห็นว่าทุกขั้นตอนการรักษามีความสำคัญ อีกทั้งความพร้อมของทีมแพทย์เฉพาะทางที่มากประสบการณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย จะเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น”

นายอัฐ กล่าวว่า การพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์เป็นสำคัญของโรงพยาบาล โดยเครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล ได้สรรหาบุคลากรทางการแพทย์สาขาต่างๆ และมอบทุนการศึกษาต่อสำหรับแพทย์และพยาบาล รวมถึงจัดระบบการเรียนการสอนพิเศษสำหรับทีมสหสาขาวิชาชีพ เช่น พยาบาล นักวิทยาศาสตร์ เภสัชกร และนักเทคนิคการแพทย์ เพื่อเพิ่มความชำนาญในการรักษาโรคเพื่อให้บริการประชาชนในพื้นที่ได้อย่างครอบคลุม โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปรักษาในกรุงเทพฯ

การนำแอปพลิเคชัน Health Up เข้ามาใช้ ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ง่ายจบในคลิกเดียวบนมือถือ เช่น ดูประวัติการรักษา นัดหมายแพทย์ ข้อมูลความรู้สุขภาพ รวมถึงบริการ Telecare ซึ่งสอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเขต EEC มีประชากรหลั่งไหลเข้ามาอยู่ในพื้นที่กว่าสี่แสนคน และมี lifestyle ของคนยุคใหม่

นายอัฐ เผยว่า โรงพยาบาลพญาไทศรีราชา เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2538 และเริ่มเปิดให้บริการประกันสังคมครั้งแรกเมื่อปี 2542 โดยเน้นคุณภาพและมาตรฐาน ทำให้เพิ่มยอดผู้ประกันตนได้มากถึง 250,000 คน และได้รับรางวัลโรงพยาบาลประกันสังคมในดวงใจในปีที่ผ่านมา ต่อมาปีนี้ได้รับโควต้าเพิ่มอีก 115,000 คน เมื่อพิจารณาถึงความต้องการที่เพิ่มเติมของผู้รับบริการ จึงมีการขยายโรงพยาบาลเพื่อรองรับเหล่านี้ ในเขต EEC ที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมและธุรกิจต่อเนื่อง ความต้องการในการดูแลสุขภาพก็สูงขึ้น เพื่อรองรับผู้ทำงานและกลุ่มแรงงาน ดังนั้น เครือ รพ. พญาไท-เปาโล ได้ลงทุนในการขยายโรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนในเขต EEC โดยการเปิดตัวโรงพยาบาลใหม่ รพ. พญาไทศรีราชา 2 เพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาลเดิมและมีความตั้งใจที่จะพัฒนา รพ. พญาไทศรีราชา 2 ให้เป็นศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางการแพทย์ในอนาคต ในปี 2568 เครือ รพ. พญาไท-เปาโล
ยังวางแผนลงทุนในการเปิดดำเนินการโรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่งในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมบ่อวิน จำนวน 225 เตียง เพื่อเป็นที่พึ่งพาทางด้านสุขภาพของชาวชลบุรีและบริเวณใกล้เคียงในอนาคต

ด้าน นายแพทย์ชาญชัย ลี้สมประสงค์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพญาไทศรีราชา ได้ให้ข้อมูลว่า โรงพยาบาลพญาไทศรีราชาแห่งแรก ได้เปิดให้บริการมาเป็นเวลาเกือบ 3 ทศวรรษ มีการพัฒนาทักษะและความรู้ทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้โรงพยาบาลกลายเป็นที่พึ่งพาของประชาชนในพื้นที่ และผู้ประกันตนได้รับการบริการอย่างคุ้มค่า กล่าวว่า โรงพยาบาลพญาไทศรีราชา มุ่งมั่นที่จะเป็นที่พึ่งพาของประชาชนในเขต EEC โดยมุ่งเน้นการให้บริการที่มีคุณภาพและราคาที่เหมาะสม มีระบบที่ปลอดภัย น่าเชื่อถือ และเครือข่ายที่เข้าถึงได้ง่ายทุกพื้นที่โดยเฉพาะในภาคตะวันออกที่เป็นเขตอุตสาหกรรม เพื่อให้บริการดูแลประชากรอย่างทั่วถึง จึงมีการขยายบริการให้สามารถรองรับผู้ประกันตนประมาณ 500,000 คน โรงพยาบาลพญาไทศรีราชา 2 ได้เปิดขึ้นเพื่อรองรับผู้ประกันตนและผู้ป่วยทั่วไป สำหรับ โรงพยาบาลพญาไทศรีราชาแห่งแรกจะพัฒนาเป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านการแพทย์ โดยปรับปรุงพื้นที่ใหม่เพื่อรองรับผู้ใช้บริการระดับพรีเมียมและผู้ประกันตนที่ต้องการการรักษาโรคเฉพาะทางหรือโรคซับซ้อน โดยได้เริ่มให้บริการรักษาโรคมะเร็งด้วยเคมีบำบัด การผ่าตัดหัวใจ และขยายศูนย์การผ่าตัดผ่านกล้องทุกระบบ นอกจากนี้ยังมีการขยายศูนย์ส่งเสริมสุขภาพและเวชศาสตร์ชะลอวัย และอีกหลากหลายสาขา ที่มีแพทย์เฉพาะทางสาขาต่างๆ จำนวนกว่า 280 ท่าน

ในปีที่ผ่านมาศูนย์ผู้มีบุตรยากของโรงพยาบาลได้รับการรับรองคุณภาพระดับโลก AACI จากประเทศสหรัฐอเมริกา และได้รับประกาศนียบัตรรับรอง Trauma 3 ในการบริหารจัดการฉุกเฉิน และกำลังดำเนินการขอรับรอง TEMSA ซึ่งเป็นมาตรฐานระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินที่ยึดหลักความปลอดภัยใน 3 กลุ่มเป้าหมาย คือ 1. Patient Safety 2. Personnel Safety และ 3. Public Safety เพื่อพร้อมให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โรงพยาบาลพญาไทศรีราชาและเครือข่าย สามารถตอบโจทย์และเป็นที่พึ่งพาของประชาชนในจังหวัดชลบุรีและใกล้เคียงทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ประสบสภาวะอุบัติเหตุฉุกเฉินต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และมีความเชื่อถือ

พญ. ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ (จำกัด) มหาชน กล่าวถึงการขยายธุรกิจการแพทย์ในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษตะวันออก (EEC) ว่า “BDMS มีความมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้อุตสาหกรรม Healthcare ของไทยสามารถดำเนินแนวทางความยั่งยืนตามมาตรฐานโลก โดยเฉพาะการลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพของประชาชนทั่วประเทศ โดยในปัจจุบัน BDMS มีโรงพยาบาลในเครือมากกว่า 50 แห่งทั่วประเทศ และล่าสุดได้ขยายเพิ่มขึ้นอีก 1 แห่ง คือ โรงพยาบาลพญาไท ศรีราชา 2 ของกลุ่มโรงพยาบาลพญาไทและเปาโล บนเขตพื้นที่ศรีราชา เพื่อตอบสนองประชาชนและรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เพิ่มมากขึ้นในพื้นที่นี้ โดยเฉพาะในแง่ของการรับมือกับความต้องการด้านการแพทย์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

การขยายธุรกิจในพื้นที่ EEC ไม่เพียงแต่เป็นการตอบสนองต่อความต้องการในตลาดและความเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้กับองค์กรในการเป็นผู้นำด้านบริการทางการแพทย์ในพื้นที่ EEC ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ในการขยายธุรกิจของกลุ่มโรงพยาบาล นอกจากนี้ ยังมุ่งหวังที่จะช่วยพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) โดยช่วยดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศและรองรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในประเทศไทยตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งเป็นการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาที่มีอยู่ในระดับโลกอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

พญ. ปรมาภรณ์ กล่าวต่อว่า “BDMS ได้รับการจัดว่าเป็นองค์กรที่มีสถานะแข็งแกร่งที่สุดในพื้นที่ EEC ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนที่จะเป็นผู้นำในด้านบริการทางการแพทย์และการดูแลสุขภาพที่เป็นเลิศบนมาตรฐานสากล รวมถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ทำให้เป็นที่ยอมรับและเชื่อถือในวงกว้างของการให้บริการสุขภาพในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงเวลานี้ อีกทั้งยังสร้างโอกาสให้กับชุมชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาด้านการแพทย์และการลงทุนในสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้เศรษฐกิจพื้นที่เติบโตในระยะยาวด้วย”

นายอัฐ กล่าวปิดท้าย “นับเป็นความภาคภูมิใจของเครือ รพ. พญาไท-เปาโล ที่สามารถขยายบริการและสนองความต้องการของประชาชนได้ทุกกลุ่ม โดยเน้นการให้บริการสุขภาพที่มีคุณภาพสูงสุด โรงพยาบาลพญาไทศรีราชา 2 จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งเสริมการพัฒนาพื้นที่เขต EEC ให้มีความยั่งยืนต่อไป ด้วยการให้บริการที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน โดยตั้งเป้าหมายในการนำเสนอประสบการณ์การรักษาที่มีคุณภาพและเทคโนโลยีที่ทันสมัย และมุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการและบริการด้านการแพทย์ที่มีคุณภาพแก่ผู้รับบริการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ”

แบรนด์แฟชั่นจิวเวลรี่ฝีมือคนไทย โดย หัสยา ปรีชารัตน์

HATSAYA แบรนด์แฟชั่นจิวเวลรี่ฝีมือคนไทย โดย คุณหัสยา ปรีชารัตน์ สืบทอดศิลปหัตถกรรมทายาทรุ่นที่ 2 ของไทยเบญจรงค์ สร้างเอกลักษณ์ที่ยากจะหาใครเหมือน ทั้งแบบโมเดิร์นและแบบไม่ทิ้งอัตลักษณ์ไทย

การทำเครื่องเบญจรงค์ถือได้ว่า เป็นงานด้านศิลปหัตถกรรมของไทยที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ เครื่องถ้วยเบญจรงค์ของไทยในอดีต ใช้การสั่งทำที่ประเทศจีนตามความคิดและลวดลายของไท งานเบญจรงค์เป็นศิลปหัตถกรรมแขนงหนึ่งที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนาน ทั้งทางด้านรูปทรงและลวดลายต่างๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ ปัจจุบันได้พัฒนาปรับเปลี่ยนรูปทรง และลวดลายให้เข้ากับยุคสมัย สามารถเข้าถึงผู้คนได้เป็นอย่างดี ยังคงเอกลักษณ์ของงานเครื่องเบญจรงค์ให้ยังคงอยู่ แต่ด้วยความต้องการของผู้คน โดยมีการปรับเปลี่ยน ส่งผลให้การสร้างสรรค์งานเบญจรงค์ต้องมีการปรับตัวอยู่สม่ำเสมอ เติมเต็มความสวยงามอย่างมีระดับให้
กับคุณหรือคนที่คุณรัก

เปิดประสบการณ์ความสวยงามอย่างมีระดับ HATSAYA
HATSAYA เครื่องประดับที่ออกแบบมาเพื่อคนที่รักในความสวยงามอย่างมีระดับ มิติใหม่ของเครื่องประดับ ที่จะกลายเป็นที่รักของคุณและผู้ที่พบเห็น  คุณหัสยา ปรีชารัตน์ ทายาทรุ่นที่ 2 ของไทยเบญจรงค์  ผู้ได้รับการยกย่องเชิดชูเป็นครูช่างศิลปหัตถกรรม ประจำปี 2566 ด้านงานเครื่องเบญจรงค์ จาก sacit หรือสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) 

HATSAYA สร้างสรรค์งานเบญจรงค์ ถอดรูปแบบกรรมวิธีการผลิตที่เป็นรูปแบบเฉพาะของเบญจรงค์ทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นการปั้น เคลือบ เผา แบบฉบับของเบญจรงค์ ตลอดจนการเขียนลายน้ำทอง ซึ่งเป็นลายเฉพาะของ HATSAYA 

ปัจจุบัน HATSAYA  พัฒนาปรับเปลี่ยนรูปทรงและลวดลายให้เข้ากับยุคและสมัย เพื่อที่จะสามารถเข้าถึงผู้คนได้เป็นอย่างดี แต่ยังคงเอกลักษณ์ของงานเครื่องเบญจรงค์ให้ยังคงอยู่ แต่ด้วยความต้องการของผู้คนมีการปรับเปลี่ยนตลอด
ส่งผลให้การสร้างสรรค์งานเบญจรงค์ มีการปรับตัวอย่างสม่ำเสมอสร้างสรรค์เครื่องประดับที่เน้นลวดลายเครื่องเบญจรงค์ นับเป็นหนึ่งความสำเร็จของการถ่ายทอดผ่านเทคนิค ลวดลายของเครื่องเบญจรงค์ ที่สืบทอดฝีมืออันเป็นเอกลักษณ์และทรงคุณค่า ต่อยอดจากรุ่นสู่รุ่น  จากงานเครื่องเบญจรงค์ดั้งเดิมของครอบครัว พร้อมประยุกต์เป็นแฟชั่นจิวเวลรี่ร่วมสมัย ผลงานโดดเด่นของ HATSAYA คือ เม็ดชาร์ม (Charm) ที่นำมาร้อยเรียงบนเครื่องเงินแท้โดยทำเป็น
จี้สร้อยคอ ต่างหู และสร้อยข้อมือ มีเฉดสีพรีเมียมให้เลือกถึง 3 สี ได้แก่ สีทอง
สีแพลทินัมและสีโรสโกลด์ ที่สามารถใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน ทำให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้รับการตอบรับดีมีโอกาสได้ลูกค้าใหม่ๆ เมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนไทยผู้ชื่นชอบเครื่องประดับ และต่างชาติแถบเอเชีย ดูไบ และอาหรับ นิยมซื้อสินค้าเพื่อเป็นของฝากของขวัญ

จากความมุ่งมั่นในการเรียนรู้ปรับตัวต่อสถานการณ์  ทำให้คุณหัสยา ทำให้วเป็นหนึ่งในผู้ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นครูช่างศิลปหัตถกรรมไทย ประจำปี 2566  ต่อยอดงานเครื่องเบญจรงค์ที่ไม่ซ้ำใคร สร้างจุดขายใหม่อยู่เสมอ โดยล่าสุดยังได้พัฒนา “เครื่องเบญจรงค์ตกไม่แตก” ใช้ดินผสมมวลสารต่างๆ เข้าไป เพิ่มความหนาแน่นของดิน สร้างความยืดหยุ่น แข็งแรง และไม่ลืมที่จะใส่รายละเอียดต่างๆ ของลวดลายที่ร่วมสมัย ซึ่งในตลาดยังไม่มีสินค้าประเภทเบญจรงค์ตกไม่แตกแบบนี้สิ่งเหล่านี้คือจุดแข็งของแบรนด์ HATSAYA การนำเอาองค์ความรู้มาพัฒนาแบรนด์อย่างแท้จริง

คุณหัสยา กล่าวถึง HATSAYA ความสวยงามอย่างมีระดับ ด้วยการนำคุณค่าของเบญจรงค์ไทยที่เติบโตอย่างยั่งยืน ผสมผสานระหว่างงานเบญจรงค์ไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ต้องอาศัยความประณีต เพื่อให้ทุกชิ้นงานสามารถบอกเล่าเรื่องราวของงานเบญจรงค์ได้อย่างอย่างมีคุณค่า ปัจจุบันได้นำไปทดสอบตลาดในต่างประเทศฝีมือและการเลือกสรรค์วัตถุดิบพัฒนาต่อยอดสู่เครื่องประดับที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันแล้ว ยังมีการเรียนรู้ช่องทางการขายให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุดที่ทำให้แบรนด์สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้

เครื่องเบญจรงค์เป็นศิลปหัตถกรรมที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนาน มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งทางด้านรูปทรงและลวดลายต่างๆ จึงมองว่างานหัตถศิลป์ไทยเหล่านี้จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากความนิยมซื้อเป็นของที่ระลึก มอบของขวัญให้แขกผู้ใหญ่ หรือของขวัญคู่ค้าต่างชาติ เพราะชิ้นงานที่บ่งบอกชัดเจนถึงความเป็นไทย

โดยระยะเวลาที่ผ่านมา HATSAYA เดินสายออก Pop-Up Store ทุกเดือน เพื่อให้คนรู้จักมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังไม่หยุดพัฒนาเปิดตัว Collection ผลงานทุกชิ้นงานคงเน้นอัตลักษณ์ความเป็นไทย ด้วยลวดลายเครื่องเบญจรงค์ที่มีเอกลักษณ์  อนุรักษ์ เผยแพร่เอกลักษณ์ความเป็นไทยให้คงอยู่ตลอดไป

แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไป แต่ความเป็นไทยยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ไทยเบญจรงค์โทรติดต่อ 038-398-022

Contact HATSAYA :  081-383-3343

Line official : @hatsaya  or click https://lin.ee/hdBQE2R 
inbox : http://m.me/hatsayaofficial 

line พิมพ์ @thai_benjarong หรือกดที่ลิ้งค์ https://line.me/R/ti/p/%40thai_benjarong

เว็บไซต์  www.ibenjarong.com หรือที่ www.thaibenjarongofficial.com
สอบถามผ่านทาง inbox http://m.me/thaibenjarongofficial

#เครื่องประดับเบญจรงค์ #jewelry #jewellery #classy #beauty #Highclassjewelry#ไทยเบญจรงค์ #เบญจรงค์ #เบญจรงค์ไทย #เครื่องเบญจรงค์ #เครื่องเบญจรงค์ไทย #ศิลปะไทย #เอกลักษณ์ไทย #อัตลักษณ์ไทย

STYLE Bangkok 2024 ภายใต้ธีม ChicNature

เตรียมพบกับความงามที่มีสไตล์และความยั่งยืนที่เป็นรูปธรรมในงาน STYLE Bangkok 2024 ตั้งแต่วันที่ 20 ถึง 24 มีนาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ชื่นชมกับแก่นแท้ของงานฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ของไทย ที่จะบรรจบกับความทันสมัยในผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ แฟชั่น และงานคราฟท์ฝีมือระดับโลก ผู้ประกอบการมากกว่า 500 รายจากทั่วประเทศ และทั่วโลก นำผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ไปจนถึงของขวัญ เสื้อผ้า เครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพไปจนถึงเครื่องครัว และอื่นๆ อีกมากมาย ตอบโจทย์ทุกความต้องการในงานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียมของเอเชีย STYLE Bangkok 2024

  • เผยโฉมแฟชั่นแห่งอนาคต ที่ STYLE Bangkok 2024
  • STYLE Bangkok 2024 เป็นยิ่งกว่างานแสดงสินค้า
  • สืบสานมรกดวัฒนธรรมกับความร่วมสมัยที่ STYLE Bangkok 2024
  • สำรวจอนาคตของแฟชั่นและความยั่งยืนที่ STYLE Bangkok
  • จากมวยไทยสู่แฟชั่น ที่ STYLE Bangkok
  • ยกระดับผ้าทอไทยสู่ตลาดโลกที่ STYLE Bangkok 2024
  • ขุมทรัพย์แฟชั่นสุดสร้างสรรค์ที่ STYLE Bangkok 2024
  • หัตถศิลป์ไทยที่ก้าวข้ามกาลเวลา ในงาน STYLE Bangkok
  • ฟื้นภูมิปัญญาท้องถิ่นกับองค์ความรู้สมัยใหม่ ใน STYLE Bangkok 2024
  • STYLE Bangkok 2024 ส่งเสริมแฟชั่นไทยบนรากฐานความยั่งยืน

สำหรับผู้ชื่นชอบมวยไทย STYLE Bangkok 2024 นำเสนอผลิตภัณฑ์จากนักมวยไทยชื่อดังระดับโลกอย่าง บัวขาว บัญชาเมฆ ภายใต้แบรนด์ “บัวขาว แกลลอรี่” ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณของกีฬาอันเป็นเอกลักษณ์ไทย มาอวดโฉมชาวไทยและชาวโลกเมื่อ ซอฟต์พาวเวอร์ของกีฬาและแฟชั่นมาบรรจบกันได้อย่างน่าทึ่ง

ไฮไลท์ยังไม่ได้จบเพียงเท่านั้น ยังมีมรดกสิ่งทอไทยอันน่าชื่นชมที่บูธ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” โครงการตามแนวพระดำริของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ฟื้นคืนความรู้จากภูมิปัญญาพื้นถิ่นมาบูรณาการร่วมกับองค์ความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เกิดเป็นผลงานการถักทอผืนผ้าและงานหัตถศิลป์ไทยที่มีความร่วมสมัยเป็นสากล ได้อย่างน่าภาคภูมิใจ เป็นที่ยอมรับของตลาดภายในและต่างประเทศ

STYLE Bangkok 2024 จึงไม่ใช่แค่งานแสดงสินค้าเท่านั้น แต่เป็นการเชิดชูเอกลักษณ์และภูมิปัญญาท้องถิ่นในมิติต่างๆ จากผู้ผลิตรายใหญ่ในอุตสาหกรรมไปจนถึงผู้ประกอบการหน้าใหม่ จากความคิดริเริ่มระดับรากหญ้าไปจนถึงวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม บทพิสูจน์ถึงความหลากหลายและความคิดสร้างสรรค์ของหัตถศิลป์ไทย ที่มีรากฐานจากภูมิปัญญาที่สืบทอดมานานต่อยอดกับแนวคิดสมัยใหม่และความยั่งยืนที่กำหนดทิศทางอนาคตของแฟชั่นไทย ที่ STYLE Bangkok 2024

STYLE Bangkok 2024 งานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ชั้นนำของภูมิภาคเอเชีย ภายใต้ธีม “ChicNature’’ตั้งแต่วันที่ 20 ถึง 24 มีนาคม 2567

ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนได้ที่ www.stylebangkokfair.com