Category Archives: Sports

Sports Lifestyle

มท.ชวนเที่ยวงาน OTOP MIDYEAR 2024 หลากหลายผลิตภัณฑ์ สีสันภูมิปัญญาไทย

เมื่อวันที่ 27 พ.ค. 67 เวลา 11.00 น. ที่ลาน Eden ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ นายเกรียง กัลป์ตินันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานแถลงข่าวการจัดงาน OTOP MIDYEAR 2024 “หลากหลายผลิตภัณฑ์ สีสันภูมิปัญญาไทย” โดยนายสยาม ศิริมงคล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ร่วมแถลงข่าว โอกาสนี้ นายราชันย์ ซุ้นหั้ว รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นางอรจิรา ศิริมงคล อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทยและประธานชมรมแม่บ้านพัฒนาชุมชน คุณภาวินี ไชยสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ประชารัฐรักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จำกัด นายชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงมหาดไทย นายสมชัย อัศวชัยโสภณ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศุภชัย นพขำ ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คณะผู้บริหารกรมการพัฒนาชุมชน สื่อมวลชน และภาคีเครือข่าย ร่วมในงาน

นายเกรียง กัลป์ตินันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า งานในวันนี้เป็นงานที่รัฐบาลชุดต่าง ๆ ให้ความสำคัญและจัดขึ้นมาเป็นเวลากว่า 20 ปี โดยรัฐบาลในปัจจุบัน ภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ขับเคลื่อนนโยบายในการ “เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ขยายโอกาส ให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศซึ่งกระทรวงมหาดไทยโดยกรมการพัฒนาชุมชน มีหน้าที่ในการพัฒนาคน ส่งเสริมให้พี่น้องคนไทยทั้งชาติได้มีอาชีพ และพัฒนาศักยภาพเพื่อไปหนุนเสริมสินค้าโอทอป”เราจัดงานมหกรรม OTOP ระดับชาติปีละ 3 ครั้ง คือ OTOP CITY, OTOP MIDYEAR และ OTOP ศิลปาชีพประทีปไทย และการจัด OTOP ระดับภูมิภาคอีก 4 ครั้ง ครอบคลุมทุกภาค

โดยในปีนี้ ตนในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลกรมการพัฒนาชุมชน ได้มอบนโยบายให้ปีนี้มีการจัดงาน OTOP ระดับกลุ่มจังหวัดตามกลุ่มจังหวัดทั้ง 18 กลุ่ม และจะแบ่งสัดส่วนสินค้าในงาน ได้แก่ OTOP 70% และผลิตภัณฑ์จากกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี 30% เพื่อจะหนุนเสริมให้บทบาทกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีในการนำเสนอสิ่งที่ดีต่อสาธารณะ รวมทั้งเสริมเรื่อง Soft Power การพัฒนาอาชีพบุคคล โดยในปีนี้ เราจะจัดประชุมพัฒนากรประจำตำบล เพื่อพัฒนาคน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำมาอย่างต่อเนื่องตลอด 70 ปีของการก่อตั้งกรมการพัฒนาชุมชนควบคู่การหนุนเสริมกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีด้วย” นายเกรียง กล่าวเพิ่มเติม

นายสยาม ศิริมงคล อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวว่า การจัดงาน OTOP MIDYEAR 2024 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 – 16 มิถุนายน 2567 ภายใต้แนวคิด “หลากหลายผลิตภัณฑ์ สีสันภูมิปัญญาไทย” โดยมีพื้นที่จัดงานมากกว่า 60,000 ตารางเมตร ครอบคลุมชาเลนเจอร์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพคเมืองทองธานี ซึ่งในปีนี้เป็นปีมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ 72 พรรษา ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2567

“การจัดงาน OTOP ครั้งนี้จึงจัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ ในโอกาสดังกล่าว โดยโซนแรก โซนนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สะท้อนพระมหากรุณาธิคุณ โครงการพระราชดำริต่าง ๆ แนวคิดการพัฒนาประเทศ และความรู้สึกคนไทยที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ โซนที่ 2 โซนหน่วยงานภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี และอีกหลายหน่วยงาน มาจัดแสดงและจำหน่าย โซนที่ 3 OTOP Trader จับคู่ธุรกิจ โซนที่ 4 จำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP มากกว่า 2,000 ร้านค้า ทั้งผ้าไทย เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องจักสาน อาหาร เครื่องอุปโภคบริโภคต่าง ๆ โซนที่ 5 OTOP ชวนชิม มากกว่า 160 ร้านค้า ทั้งประเภทอาหารและเครื่องดื่ม

โดยจะเพิ่มพื้นที่สำหรับผู้เที่ยวชมงานเพื่อจะได้มีที่นั่งรับประทานอาหารเพิ่มเติม นอกจากนี้ โซนศิลปิน OTOP เพื่อส่งเสริมภูมิปัญญาและอนุรักษ์ภูมิปัญญาดั้งเดิมมาให้สัมผัส โดยชูภูมิปัญญาท้องถิ่นซึ่งเป็นแกนกลางของการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชนมาให้ทุกคนที่มางานได้แสวงหาความรู้ผ่านการสาธิตต่าง ๆ ควบคู่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ รวมถึงโซนชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี แบ่งเป็น 4 ภาค ภาคเหนือ Wellness ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การทอผ้าการผลิตตัดเย็บผ้า ภูมิปัญญาท้องถิ่นวิถีทอผ้า ภาคกลาง หมู่บ้านขนมหวาน ที่ดึงภูมิปัญญาขนมในแต่ละจังหวัด จนกลายเป็นขนมไทย ภาคใต้ เน้นงาน craft เครื่องถมเงิน ถมทอง และโซน First Lady นวัตกรรมสินค้าต่าง ๆ โดยผู้เลือกซื้อสินค้าจะได้ร่วมชิงโชค และพบกับสินค้านาทีทอง และในงานมีการแสดงบนเวทีซึ่งมีศิลปินหลากหลาย ศิลปินที่มีชื่อเสียงในยุคปัจจุบัน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาแสดงบนเวทีตลอดการจัดงาน” นายสยาม กล่าวเพิ่มเติม

นายสยาม กล่าวเน้นย้ำว่า โซนไฮไลท์ของการจัดงานครั้งนี้ คือ “โซนผ้าไทยใส่ให้สนุก” ซึ่งเป็นการนำเสนอผลงานแห่งการน้อมนำพระกรุณาคุณของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงมุ่งมั่นในการสืบสาน รักษา และต่อยอดพระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยทรงต่อยอดด้วยพระอัจฉริยภาพด้านแฟชั่น เพื่อทำให้ผ้าไทยใส่ได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกเวลา ทั้งลวดลายผ้า รูปแบบ กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ส่งผลทำให้เกิดรายได้จากพระกรุณาคุณที่พระราชทานพระดำรินับเป็นเวลา 3 ปีกว่า ผู้ประกอบการมีรายได้รวมทั้งประเทศมากกว่า 70,000 ล้านบาท

ซึ่งในปีนี้จะมีผ้าลายสิริวชิราภรณ์ และลายพระราชทานอื่น ๆ ตลอดจนผลงานที่ได้รับการพัฒนาฝีไม้ลายมือมาให้เลือกซื้อเลือกหาเป็นจำนวนมาก ซึ่งเมื่อพวกเราเลือกซื้อเลือกหาผ้าไทย แน่นอนว่าความภาคภูมิใจประการหนึ่ง คือ เม็ดเงินก็จะหมุนเวียนอยู่ในครอบครัวพี่น้องประชาชนเกษตรกรและผู้ประกอบการคนไทยด้วยกัน ไม่รั่วไหลไปต่างประเทศ และประการที่สำคัญ ในปีนี้เรานำเสนอผลิตภัณฑ์อันเนื่องจากพระดำริ Sustainable Fashion หรือแฟชั่นแห่งความยั่งยืน ซึ่งเป็นเทรนของประเทศต่าง ๆ บนโลกนี้ และงานในครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกของโลกที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้นำผลิตภัณฑ์ OTOP ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาจัดจำหน่าย

นายสยาม กล่าวในช่วงท้ายว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายเกรียง กัลป์ตินันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เน้นย้ำให้กรมการพัฒนาชุมชน พัฒนากระบวนงาน OTOP ให้ประชาชนได้เลือกซื้อเลือกหาสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น ควบคู่กับการทำให้ผู้ประกอบการได้พัฒนาศักยภาพตนเองเพื่อให้สินค้ามีมาตรฐานในระดับสูงขึ้น

ดังนั้น การคัดเลือกผลิตภัณฑ์ OTOP มาจำหน่ายในงานครั้งนี้ เราจะเข้มงวดการคัดเลือกสินค้าตั้งแต่ 3 – 5 ดาว เพื่อให้พี่น้องคนไทยได้รับประสบการณ์ที่ดี เข้าถึงผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ซึ่งจะเกิดประโยชน์ในลักษณะเปรียบเสมือนเหรียญ 2 ด้าน คือ 1) คนที่มาเที่ยวจะได้ชม ได้เห็นผลิตภัณฑ์และซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรการสูงยิ่งขึ้น และ 2) พี่น้องชาว OTOP ก็จะต้องปรับตัวในการพัฒนาฝีไม้ลายมือและผลงานให้มีมาตรฐานสินค้าเพิ่มมากขึ้น กล่าวคือ ผู้บริโภคได้สินค้าที่ดีมีมาตรฐาน ผู้ประกอบการได้รับการพัฒนา

“ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน และแฟนคลับ OTOP เที่ยวงาน OTOP MIDYEAR 2024 “หลากหลายผลิตภัณฑ์ สีสันภูมิปัญญาไทย” ระหว่างวันที่ 8 – 16 มิถุนายน 2567 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 21.00 น. ณ ชาเลนเจอร์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ชม ช็อป ชิม แช๊ะ แชร์ การจัดงานแห่งความภาคภูมิใจของคนไทย ร่วมอุดหนุนสินค้าไทย เม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศไทย ด้วยความร่วมไม้ร่วมมือร่วมแรงร่วมใจของพวกเราคนไทยไปด้วยกัน”

ด้าน นางสาวณัฏฐ์ณรัณกร แตงเอี่ยม ตัวแทน Excellent Creft by อุไรเบญจรงค์ จากโซนศิลปิน OTOP กล่าวว่า  ผลงานที่นำมาโชว์ผลิตภัณฑ์ครั้งนี้คือองค์พระพิคเณศวร ปางประทานพร ทรงเครื่องจักรพรรดิ เป็นการหล่อองค์พระพิคเณศขึ้นมาใหม่ ใหญ่ที่สุดที่ทำมาจากเซรามิค โดยเป็นการนำน้ำทองวาดลวดลายเป็นลายเบญจรงค์ และวาดลงบนความนูนของลายทรงจักรพรรดิ ทรงเครื่อง ด้วยน้ำทองคำแท้ และลงสีองค์ด้วยสีแดงและตกแต่งด้วยยลายดอกไม้หลากสีจักรี ทรงเครื่อง ปางเสวยสุขประทานพร ใช้เวลา 1 ปี ในการปั้นและการทำลวดลายน้ำทองคำ มีขนาดกว้าง 16 นิ้ว สูง 29 นิ้ว ซึ่งจัดแสดงในโซนศิลปิน OTOP และเป็นการเปิดตัวเบญจรงค์ลายกางเกงช้าง เบญจรงค์ GEN ใหม่ ซึ่งลวดลายบนเครื่องเบญจรงค์นี้ สามารถนำศิลปะที่เป็นอัตลักษณ์ของแต่ละจังหวัดมาวาดลงบนจาน ซึ่งมีหลายขนาด สามารถรังสรรค์งานในสไตล์ที่เป็นตัวเองได้ โดยในงานจะมีการรับออกแบบเทรนด์กางเกงช้างประจำจังหวัดใส่บนภาชนะที่ต้องการได้  ได้รับการให้โอกาสแสดงงานโดย คุณริตยา รอดนิ่ม ผอ.กลุ่มงานส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น กรมการพัฒนาชุมชนเป็นครั้งแรกที่นำมาจัดแสดง”

OTOP MIDYEAR 2024 หลากหลายผลิตภัณฑ์ สีสันภูมิปัญญาไทย
8 – 16 มิ.ย. 67 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี 

พนิตตา ศรีสอาด ควงสองหนุ่ม บุรินทร์ นาคเจริญ และวีรศักดิ์ ชุณหจักร สังสรรค์วันคล้ายวันเกิดโมเมนต์นี้อบอุ่นหัวใจ

ฉลองวันเกิดปีนี้ พนิตตา ศรีสอาด ควงสองหนุ่ม บุรินทร์ นาคเจริญ (โจ๊บ) และวีรศักดิ์ ชุณหจักร (อิ่ม) ฉลองวันเกิดที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ในปีนี้ถูกจัดขึ้นที่ห้องอาหารเกาหลี “หยาง” พร้อม เสิร์ฟความอร่อยหลากหลายเมนูแบบต้นตำรับ
เกาหลีแนวฟิวชั่นรสเลิศสุดๆ

สร้างสรรค์โดย “เชฟจอร์แดน” มาพลิกโฉมอาหารเกาหลีแบบดั้งเดิม อาหารเกาหลีสไตล์ฟิวชั่น….อร่อย คุ้นลิ้น ที่สมาคมนักเรียนเก่าอังกฤษฯ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ท่ามกลางบรรยากาศสุดมันส์

โดยมีดารา นักแสดง เซเลบริตี้ชื่อดัง ดร.จินดารัตน์ ชุมสาย ณ อยุธยา (ดร.เอ๊าะ) กับเอิร์ธ สายสว่าง และแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมอวยพรวันเกิดร่วมแสดงความยินดีที่ องอาหารเกาหลี “หยาง”

หมอเพื่อน หวนคืนวงการนางงาม

เปิดตัวกันมาเรื่อยๆ สำหรับ การประกวด Miss Universe Thailand 2024  ของแต่ละจังหวัด ปีนี้ น่าจับตามองคงไม่พ้น MUT Khonkaen ที่มี คุณหมอเพื่อน แพทย์หญิงกอบกุลยา จึงประเสริฐศรี ผู้อำนวยการศูนย์  Premier Life Center รพ.พญาไท 2 ดีกรี รองนางสาวไทย อันดับ 1 ปี 2552 หวนคืนวงการนางงามอีกครั้งในฐานะที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ MUT Khonkaen จังหวัดบ้านเกิด และยังสนับสนุนการประกวดในครั้งนี้ ในนามคลินิกหมอเพื่อนที่จังหวัดขอนแก่นด้วย

เห็นหมอเพื่อน ออกสื่อให้ความรู้สุขภาพและตรวจคนไข้ประจำโรงพยาบาล รวมถึงเป็นแพทย์อาสา แต่ยังจัดสรรเวลาในวงการบันเทิงและนางงามให้เราได้ลุ้นกันว่า สาวๆ จังหวัดขอนแก่นท่านไหนจะเข้าตากรรมการ เป็นตัวแทนไปแข่งขันต่อ ใน Miss Universe Thailand 2024 

ผู้เข้าประกวด MUT khonkaen 2024  ได้แก่ โอปอ  ณัฐนันณ์ วงษ์ทรัพย์ , เบ็นซ์  อังชนาภรณ์ โมในยกุล  , จีจี้   ชนิดา  กงวงษ์ , เบนซ์   อริสา ชยปาลกุล , พิซซ่า   ศิริยศ  ชุปวา , กวางตุ้ง  อภิญญา กันสา , ฟิล์ม   ชาริสา ทรัพย์แสงเพิ่ม , นุ่น   สุวัจนี ศรีพละธรรม , โรส   ฐานิตา สีกวนชา , บุ๋มบิ๋ม   ชิชาดา นาสมยนต์ , ตานิว   วิลาวัณย์ กาศสันเทียะ , มิ้ว   ภัคพิชา เตชะเจริญทรัพย์ , กุ๊กกิ๊ก  ณัฐณิชา เนื่องโคคะ , เฟญ่า นภัสสรณ์ โสสิงห์

MUT Khon Kaen ปี 2024 ภายใต้ Motto The Metropolis Khon Kaen Never Stop มหานครที่ไม่เคยหยุดนิ่ง พัฒนาอย่างยั่งยืน เรียนรู้ไปกับการเปลี่ยนแปลง ในทุกมิติความเจริญ ทันสมัย ของจังหวัดขอนแก่น ด้วย กลยุทธ การชู ความทันสมัยในทุกด้าน ให้ โลกรับรู้ บนจักรวาลความงาม ปีนี้ ผู้เข้าร่วมประกวด 14 สาวงาม ร่วมทำกิจกรรม เก็บตัวระหว่างวันที่ 18-21 พฤษภาคม 2567

ติดตามได้ ผ่านทางเพจ MUT KhonKaen และวันประกวดวันที่ 22 พฤษภาคม 2567 19.30 น. ณ Khonkaen Hall  ชั้น5  เซ็นทรัลขอนแก่น รับชมถ่ายทอด
ผ่านทาง Live TPNG

ฟรี Thai Tea Latte จาก Cafe De Oasis @Chiang Mai

Oasis Spa ร่วมมือกับ Café de Oasis ส่งต่อเอกลักษณ์มหัศจรรย์ของชาไทย เครื่องดื่มสุดฮิต ที่เป็นที่นิยมแพร่หลายทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยว ด้วยประสบการณ์การสครับผิวที่ไม่เหมือนใคร เพียงเลือกการนวด 2 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็น “King of Oasis” หรือ “Queen of Oasis” รับฟรีทันที 60 นาทีโปรแกรมขัดผิว Thai Tea Latte Body Scrub โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ผิวหอม และนุ่มชุ่มชื่นขั้นสุด

พิเศษกว่านั้น รับฟรี ‘Thai Tea Latte’ จาก Cafe De Oasis @Chiang Mai ลิ้มรสชาติชาไทยแท้ ให้รอบกายกรุ่นหอมกรุ่นไปด้วยกลิ่นชาไทยที่เป็นเอกลักษณ์ไปทั้งวัน พร้อมเผยผิวสวย เรียบ เนียนนุ่ม ชุ่มชื่น ด้วยการขัดผิว ชาไทย ลาเต้ ให้อาหารผิวแบบล้ำลึกจากวิตามินอี หนึ่งในคุณสมบัติเด่นของชาดำที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ บำรุงผิวแข็งแรง ผสานกับน้ำมันจมูกข้าว และน้ำมันดอกไม้นานาพรรณ เช่น ดอกคามิเลีย ดอกทานตะวันและน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวช่วยฟื้นฟูเร่งด่วนให้ผิวอ่อนล้าหลังออกแดดมีชีวิตชีวาขึ้นทันที

การขัดผิวอย่างอ่อนโยน ช่วยพาความเหนื่อยล้าของวันวานออกไป ผ่อนคลายด้วยกลิ่นหอมกรุ่นจากชาไทย

จองด่วน มาผ่อนคลายกายและใจกับโปรโมชั่น Thai Tea Latte Body Scrub ที่โอเอซิสสปา ทั้ง 8 สาขา ลิ้มรสชาติชาไทยแท้ ให้รอบกายกรุ่นหอมกรุ่นไปด้วยกลิ่นชาไทย

ฟรีทันที ขัดผิวชาไทยลาเต้ เพียงทำสปา 2 ชั่วโมง ชาไทยลาเต้ เครื่องดื่มซิกเนเจอร์ของเรา รอเสิร์ฟเติมความสุขให้ทุกท่านอยุ่ที่ Cafe De Oasis เชียงใหม่

เงื่อนไขโปรโมชั่น :

  • สามารถใช้บริการได้ที่โอเอซิสสปาทุกสาขา กรุงเทพ ฯ เชียงใหม่ ภูเก็ตและพัทยา
  • ส่วนลดนี้สำหรับการจองออนไลน์ ได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 กรกฎาคม 2567 เท่านั้น
  • ไม่สามารถใช้ร่วมกับโปรโมชั่นอื่นๆ หรือคูปองส่วนลดอื่นๆ หรือบัตรสมาชิกโอเอซิสสปาได้

แผนกรับจองสปา
เชียงใหม่ +66 5392 0111
กรุงเทพ +66 2262 2122
ภูเก็ต +66 7633 7777
พัทยา +66 3811 5888
อีเมล์ res@oasisspa.net
Line @oasisspa

SACIT Concept 2024 : Geographical Indications of Art and Craft เปิดเวทีงานออกแบบ Craft Design Pitching & Matching 

SACIT ปลุกพลังกระตุ้นผลิตภัณฑ์ในพื้นที่ GI เชิญชวนผู้ผลิต หรือผู้ประกอบการสินค้าหัตถกรรม GI เปิดเวทีงานออกแบบ Craft Design Pitching & Matching

สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ สศท. ชวนผู้ผลิต หรือ ผู้ประกอบการสินค้าหัตถกรรม GI ได้แก่ ครูศิลป์ของแผ่นดิน ครูช่างศิลปหัตถกรรม ทายาทช่างศิลปหัตถกรรม กลุ่มสมาชิกของ สศท. ช่างฝีมือ ชุมชนหัตถกรรม ผู้ประกอบการทั่วไป ร่วมกับ นักออกแบบ ได้แก่ นักสร้างสรรค์ และนักออกแบบผลิตภัณฑ์ กลุ่มพันธมิตรเครือข่ายองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมไทยพร้อมบรรจุภัณฑ์ ผสานองค์ความรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่นกับนวัตกรรมด้วยความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อทั้งในและต่างประเทศ มีมาตราฐานสินค้าผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมไทย เกิดคุณค่าและความยั่งยืน

นางสาวนฤดี ภู่รัตนรักษ์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรม รักษาการแทนผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย กล่าวว่า โครงการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์เพื่อต่อยอดเชิงพาณิชย์ กิจกรรม SACIT Concept 2024 : Geographical Indications of Art and Craft ดำเนินการเป็น Craft Design Matching การจับคู่กันระหว่าง ผู้ผลิต หรือผู้ประกอบการสินค้าหัตถกรรม GI กับ นักออกแบบ โดยร่วมกันออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมไทย พร้อมบรรจุภัณฑ์ ที่เกิดจากการสืบสาน ต่อยอดองค์ความรู้งานศิลปหัตถกรรมแบบดั้งเดิมที่ได้รับการต่อยอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น (From Root to Route) ด้วยความคิดสร้างสรรค์ของคุณรุ่นใหม่ให้มีความชัดเจนและพัฒนาให้เกิดความร่วมสมัย นวัตกรรม และเทคโนโลยีที่สอดรับกับภูมิปัญญาท้องถิ่น ในปีนี้ เราได้ออกแบบโครงการภายใต้แนวคิด

GI Smart Craft Combinations: คราฟต์ ผสมผสาน อย่างชาญฉลาด คือ การสร้างเครือข่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมให้เพิ่มมากขึ้น ระหว่าง กลุ่มผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการด้านศิลปหัตถกรรม และนักออกแบบ เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมไทย ในรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ วัสดุ วัตถุดิบ การทำสี และการพัฒนาศักยภาพให้กับผู้ประกอบการศิลปหัตถกรรมไทย พร้อมยกระดับเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรมไทย ให้สามารถต่อยอดเชิงพาณิชย์ ภายใต้การกำกับดูแลของผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เราคาดหวังจะได้เห็นผลงานศิลปหัตถกรรมการออกแบบใหม่ ๆ ที่ฉีกกรอบเดิม และสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ ทุกผลงานที่ผ่านเข้ารอบและพัฒนาจะได้เข้าร่วมแสดงนิทรรศการและทดสอบตลาด รวมถึงจัดทำหนังสือรวบรวมองค์ความรู้ จากการพัฒนาผลิตภัณฑ์

โครงการนี้ได้รับเกียรติจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแต่ละด้านร่วมพิจารณารอบคัดเลือก และรอบจับคู่ Pitching & Matching คณะกรรมการดำเนินการ พิจารณาข้อมูลเพื่อจับคู่ ผู้ประกอบการสินค้าหัตถกรรม จำนวน 3 ราย ต่อนักออกแบบ จำนวน 1 ราย


ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดใบสมัครและส่งสมัครเข้าร่วมโครงการได้ตั้งแต่วันนี้ – 1 พฤษภาคม 2567 ผ่านทาง https://www.sacit.or.th/th/detail/2024-04-19-17-44-37?event-project=1

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ ฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปหัตถกรรม สถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน)
ที่อยู่ 59 หมู่ 4 ตำบลช้างใหญ่ อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13290 ; โทรศัพท์. 0 3536 7054-9; โทรสาร. 0 3536 7050-1; สายด่วน. 1289; อีเมล. info@sacit.or.th

ถอดรหัสความสำเร็จ เซ็น เรสเตอร์รอง กับการเติบโตในตลาด ‘บุฟเฟต์’ ตลอด 3 ปี

เซ็น เรสเตอร์รอง หนึ่งในธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น เครือ เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป เปิดดำเนินการครั้งแรก เมื่อปี 2534 ให้บริการในรูปแบบ A la carte โดยสามารถครองใจผู้บริโภคอย่างยาวนานมาตลอด 32 ปี ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มครอบครัว ปัจจุบันมีสาขารวมทั้งหมด 55 สาขา ครอบคลุมทั่วประเทศไทย

เทรนด์ของผู้บริโภคเปลี่ยน – ธุรกิจปรับตัว
จุดเริ่มต้นการให้บริการบุฟเฟต์ ของ เซ็น เรสเตอร์รอง เกิดขึ้นในปี 2564 ในช่วงหลังประกาศคลายล็อคดาวน์ ประกอบกับข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคที่โหยหาการทานบุฟเฟต์ มองหาความคุ้มค่า เน้นความหลากหลายของเมนูอาหาร ทำให้ สถิติการค้นหาบน Google Search ในช่วงเวลานั้นเพิ่มขึ้นถึง 430% และด้วยกระแสการบริโภคแบบบุฟเฟต์ของคนไทยมีทิศทางเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ทาง เซ็น เรสเตอร์รอง ตัดสินใจเพิ่มอีกหนึ่งรูปแบบการให้บริการ ประเภท บุฟเฟต์

การเติบโตของ ZEN Grand Premium Buffet ตลอดระยะเวลา 3 ปี

ในปี 2564 ร้านอาหารญี่ปุ่นเซ็น เรสเตอร์รอง ปรับ 16 สาขาในขณะนั้น เพิ่มการให้บริการในรูปแบบบุฟเฟต์ รองรับความต้องการของลูกค้าที่ชื่นชอบการทานบุฟเฟต์ วัตถุดิบพรีเมียม มากกว่า 80 เมนู และการให้บริการที่มีคุณภาพ ภายใต้การวางกลยุทธ์ Value Promotion เริ่มต้น 599+ เสิร์ฟความคุ้มค่าระดับพรีเมียม ซึ่งภายในปีแรกก็ได้รับกระแสการตอบรับเป็นอย่างดี เป็นอีกหนึ่งแบรนด์บุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่นที่หลายคนให้ความสนใจและนึกถึง โดยสามารถขยายฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่ ช่วงอายุ 26 – 45 ปี ที่เข้ามาใช้บริการ ซึ่งเป็นวัยที่มีกำลังซื้อค่อนข้างสูง และแตกต่างจากกลุ่มลูกค้าเดิม จนสร้างรายได้เติบโตขึ้นกว่า 23%
ในปี 2565 ต่อมาในปีที่ 2 ทางแบรนด์ยังได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการใช้กลยุทธ์การทำการตลาดใหม่อีกครั้ง ผ่านการ Revamp Menu ปรับ Mood & Tone เมนูใหม่ทั้งหมดให้มีความพรีเมียมกว่าเดิม พร้อมกับการสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ จากเดิมที่มี 80 เมนู เพิ่มขึ้นเป็น 130 เมนู ในราคาเริ่มต้นเพียง 599+ ชูความคุ้มค่าของวัตถุดิบ คุณภาพอาการระดับพรีเมียม เกินราคาที่จ่าย ยกขบวนแซลมอนกว่า 20 เมนู ทั้งชาชิมิ ซูชิ และเนื้อ สั่งได้ไม่อั้น พร้อม
วาไรตี้เมนูอื่น ๆ ทั้งเมนูเย็น และเมนูร้อน รวมถึงเมนูของทอด เปิดให้บริการในรูปแบบบุฟเฟต์ รวม 29 สาขา

ซึ่งในปีนี้แบรนด์สามารถขยายฐานลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ได้เพิ่มขึ้นอีกกว่า 120% สร้างรายได้การเติบโต 41% ในปี 2566 เซ็น เรสเตอร์รอง เน้นกลยุทธ์การขยายสาขาเป็นหลัก เป็นไปตาม Growth Strategy ขององค์กร โดยการเปิดสาขาบนพื้นที่ใหม่ ๆ มุ่งเน้นการขยายไปที่น่านน้ำใหม่ เช่น ในพื้นที่ต่างจังหวัด ทั้งเมืองหลัก และเมืองรอง เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงการกินบุฟเฟต์แบบพรีเมียมได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งมีการขยายสาขาอีก 7 สาขา รวมกว่า 55 สาขา ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยสาขาที่ให้บริการบุฟเฟต์มีทั้งหมด 37 สาขา

คุณมยุรี จิตรกร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการตลาด บริษัท เซ็น คอปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ความสำเร็จของ เซ็น เรสเตอร์รอง หลังจากเปิดให้บริการในรูปแบบบุฟเฟต์มาตลอดระยะเวลา 3 ปี ที่ผ่านมา สามารถขยายฐานลูกค้าในกลุ่ม GEN Y – GEN Z ที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้นกว่า 200% แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงของแบรนด์ในตลาดบุฟเฟต์อาหารญี่ปุ่น และการเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกปี ทั้งยอดขายและการเพิ่มจำนวนสาขาที่ให้บริการบุฟเฟต์ได้มากขึ้นในทุกปี แต่ทั้งนี้ทางแบรนด์ก็ยังคงรักษามาตรฐาน โดยไม่หยุดพัฒนาต่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเมนู วัตถุดิบ และการให้บริการที่มีคุณภาพระดับพรีเมียมในทุกองค์ประกอบ หวังสร้าง Brand Royalty การมีส่วนร่วมกับแบรนด์ และตัดสินใจกลับมาใช้บริการซ้ำแบบต่อเนื่อง คาดเติบโตกว่า 13% ภายในสิ้นปี”

โดยเป้าหมายในปี 2567 คือการ Revamp Menu ใหม่อีกครั้ง ความตั้งใจที่จะสร้าง Product ที่ดึงดูดกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ให้มากขึ้นอีก โดยทางแบรนด์ได้มีการใช้ Data Analytic วิเคราะห์พฤติกรรมและทำความเข้าใจผู้บริโภคในกลุ่มนี้ เพื่อนำมาวางแผนการตลาด รวมถึงการคัดสรรเมนูให้ตอบโจทย์มากที่สุด ซึ่งพบว่า
-กลุ่ม GEN Y ชอบทานเมนูเย็น เช่น ซาชิมิ ซูชิ โดยเมนูแซลมอนจะได้รับผลตอบรับที่ดีมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นเมนูไหน
-กลุ่ม GEN Z มองหาความคุ้มค่ามากกว่ากลุ่มอื่น มีการสั่งเมนูซาชิมิแซลมอล ซูชิแซลมอน มากกว่ากลุ่มอื่น
-ลูกค้ากว่า 70% จบท้ายมื้อด้วยขนมหวาน

ทำให้การ Revamp Menu ใหม่ในปีนี้ เกิดจากความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง สร้างการมีส่วนร่วมกับแบรนด์ และตอบโจทย์ความต้องการในการเลือกสรรเมนูอาหาร โดยความพิเศษของเมนูไลน์อัพใหม่ ยกระดับความพรีเมียมไปอีกขั้น อัดแน่นไปด้วยความคุ้มค่ายิ่งขึ้น วัตถุดิบหลากหลายขึ้น เมนูที่มากขึ้นรวมกว่า 179 เมนู โดยเมนูใหม่มากขึ้นถึง 49 เมนู แต่ราคาเท่าเดิม ไม่บวกเพิ่ม

Tier 599+ Sushi & Aburi Lovers : อัดแน่นกับขบวนซูชิ และอะบุริที่หลากหลายเมนู มากกว่า 77 เมนู โดยใน Tier เริ่มต้นนี้มีเมนูใหม่ถึง 21 เมนูเลยทีเดียว ทั้งซูชิท้องปลาแซลมอนทอดซอสสไปซี่มิโสะ, ซูชิท้องปลาแซลมอนทอดซอสสไปซี่ ซูชิอิกะ, ซูชิยำครีบหอยเชลล์น้ำมันงา, ซูชิแมงกะพรุนกิมจิ, ซูชิทาโกะวาซาบิ

Tier 799+ Sashimi & Maki Lovers : ใครที่ชื่นชอบซาชิมิห้ามพลาด ทั้งเอ็นกาวะ ฮามาจิ โฮตาเตะ อูนางิ อากามิ และใน Tier นี้ยังเพิ่มหมวดที่หลากหลายมากขึ้น กับ Maki และ Sushi Don ทั้งแซลมอนบอมบ์มากิ ข้าวหน้าแซลมอนสับ โรลกุ้งคัตสึ โรลปูอัดครั้นชี่เทมปุระ และเมนูของหวานเจลลี่ ตบท้ายมื้อแบบฉ่ำ รวมกว่า 123 เมนู ซึ่งมีเมนูใหม่กว่า 32 เมนู

Tier 1199+ Premium Beef & Truffle lovers : พบกับเมนูเนื้อเกรดพรีเมียม ทั้งรูปแบบย่าง และกะทะร้อน, เมนู Truffle สุดพรีเมียม โดยเฉพาะ ซุปทรัฟเฟิล เสิร์ฟร้อนหอมละมุน และความหลากหลายเมนูซาชิมิเกรดพรีเมียม ชิ้นใหญ่ เต็มคำ ทั้งเอ็นกาวะ ฮามาจิ โฮตาเตะ อูนางิ อากามิ และเมนูบราวนี่ ที่เป็นของหวานด้วย รวมกว่า 179 เมนู เมนูใหม่รวมแล้วกว่า 49 เมนู

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/Zenjapaneserestaurant
หรือ Line @ZENGroupTH

Austrian Lifestyle Week 2024

Austrian Lifestyle Week 2024 สัปดาห์แห่งการเฉลิมฉลองทางวัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และความยั่งยืนของออสเตรีย กิจกรรมตลอดทั้งสัปดาห์ที่จะชูความโดดเด่นทางด้านอาหาร ไวน์ และแฟชั่นของออสเตรีย พร้อมฉลองครบรอบความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ออสเตรีย

กรุงเทพฯ 21 มีนาคม 2567 – สถานเอกอัครราชทูตออสเตรีย กรุงเทพฯ ร่วมกับสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติออสเตรีย (Austrian National Tourist Office) และสถานเอกอัครราชทูตออสเตรียแผนกพาณิชย์ (Advantage Austria) จัดงาน ‘Austrian Lifestyle Week 2024’ โดยมี 3 ธีมที่เป็นไฮไลท์สำคัญ (ศาสตร์การทำอาหาร ไวน์ แฟชั่น) เพื่อเน้นย้ำถึงความมีชีวิตชีวาของออสเตรีย และวัฒนธรรมอันอุดมสมบูรณ์ ตั้งแต่วันที่ 18-24 มีนาคม 2567 มีการจัดงานต่าง ๆ มากมาย เพื่อเฉลิมฉลองวันครบรอบความสัมพันธ์ของประเทศไทยและออสเตรีย รวมถึงความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ 155 ปีระหว่างทั้งสองประเทศ และ 70 ปีของภารกิจประจำถิ่นในกรุงเทพฯ และเวียนนา ตามลำดับ

ไฮไลท์ของงาน Austrian Lifestyle Week 2024 ได้แก่ การแข่งขันทำอาหารกระชับมิตร (20 มีนาคม) ระหว่างเชฟชาวออสเตรีย Max Stiegl และเชฟชาวไทย มาโนช พึ่งพร้อม กิจกรรมชิมไวน์สุดพิเศษ (21 มีนาคม) เฉพาะผู้ที่ได้รับเชิญเท่านั้น) และแฟชั่นโชว์ที่นำสมัย (22 มีนาคม)

เชฟมาโนชเชื่อว่าหัวใจของอาหารไทยคือการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างรสชาติดั้งเดิม วัตถุดิบคุณภาพ และเทคนิคการทำอาหารขั้นสูง ความหลงใหลของเขาคือการค้นหาการผสมผสานที่ลงตัวและความสมดุลของรสชาติไทยที่มีทั้งรสหวาน เผ็ด เปรี้ยว และเครื่องเทศต่าง ๆ โดยการใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่น

ในขณะที่เชฟ Max สร้างสรรค์อาหารออสเตรียแบบดั้งเดิมโดยการผสมผสานประเพณีการทำอาหารฝรั่งเศสควบคู่ไปกับอาหารสไตล์บูร์เกนลันด์ (Burgenland) ที่ยั่งยืน ทำให้เกิดความสร้างสรรค์ในอาหารออสเตรียแบบดั้งเดิม เทศกาล Sautanz (หรือ ‘Sow Dance’) ประจำปีของเขาถือเป็นเรื่องในตำนาน นั่นคือการนำหมูมาประกอบอาหารในทุกส่วนเพื่อเป็นการแสดงถึงการรู้คุณของวัตถุดิบ

ชาว Epicureans รวมถึงแอนโทนี บูร์เดน (Anthony Bourdain) ผู้ล่วงลับไปแล้ว ได้เดินทางจากทั่วทุกมุมโลกเพื่อลิ้มลองอาหารจานพิเศษที่เป็นนวัตกรรมใหม่ของเชฟ Max เขาให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับวัตถุดิบตามฤดูกาลของภูมิภาคในการรังสรรค์เมนูของเขา ร้านอาหารของเชฟ Max เสิร์ฟเมนูปลาสดจากทะเลสาบ Neusiedl ที่อยู่ใกล้เคียง เนื้อสัตว์ป่าจากเทือกเขา Leitha เนื้อแกะจากฟาร์มของเขา สัตว์ปีกจากเพื่อนบ้านใกล้เคียง และสมุนไพรจากสวนส่วนตัวของเขาเอง

เอ็มมานูเอล เลห์เนอร์-เทลิค (Emanuel Lehner-Telic) ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติออสเตรีย กล่าวว่า “การแข่งขันทำอาหารไทย-ออสเตรียจะเปิดโอกาสให้คนไทยได้ค้นพบประเพณีการทำอาหารอันยอดเยี่ยมของออสเตรีย การจัดงานครั้งนี้เป็นการเชิญชวนให้ทุกคนได้เพลิดเพลินไปกับกิจกรรมหลากหลายภายในงานและสัมผัสถึงเสน่ห์ของประเทศออสเตรีย ไม่ว่าจะเป็นอาหารเลิศรส ภูมิประเทศที่น่าตื่นตาตื่นใจ ตลอดจนศิลปะและวัฒนธรรมที่มีอยู่มากมาย การท่องเที่ยวด้านอาหารของออสเตรียกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากความขึ้นชื่อเรื่องอาหารที่มีคุณภาพสูงและความใส่ใจด้านความยั่งยืน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากประเทศในแถบยุโรปหลายแห่ง”

นอกจากนี้ มิชลิน ไกด์ยังได้ประกาศเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่าจะกลับมาเยือนออสเตรียอีกครั้ง พร้อมกับการคัดเลือกระดับชาติที่จะเกิดขึ้นในปี 2568 รางวัลนี้ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เชฟ Max รับตำแหน่งเชฟที่มีอายุน้อยที่สุดในโลก ที่ได้รับดาวมิชลิน ด้วยวัยเพียง 20 ปี และน่าจะโดนใจนักชิมชาวไทยที่ติดตามมิชลิน ไกด์ เห็นได้จากร้านอาหารหลากหลายแห่งในกรุงเทพฯ และภาคใต้ของประเทศไทยที่อยู่ในระดับดาวมิชลิน

จากอาหารไปสู่วงการแฟชั่น งานแสดงแฟชั่นโชว์ออสเตรียที่จะจัดขึ้น (Austrian Fashion Show) จะเน้นเทรนด์สไตล์ล่าสุดในโอต์กูตูร์ (Haute couture) โดยมีคอลเลกชันพิเศษจาก Conches, Plural และ Thang de Hoo จากออสเตรีย และคุณเอก ทองประเสริฐ (Ek Thongprasert), Wonder Anatomie และ Sirintra จากประเทศไทย การแสดงนี้จะเปิดโอกาสให้ผู้ที่มาร่วมงานได้ค้นพบการออกแบบและเนื้อผ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและก่อให้เกิดความยั่งยืนจากทั้งสองประเทศ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์แฟชั่นระดับพรีเมียมอื่น ๆ อีกมากมาย

Austrian Lifestyle Week 2024 ยังตรงกับวันครบรอบ 155 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับออสเตรีย และครบรอบ 70 ปีของภารกิจประจำกรุงเทพฯ และเวียนนา ไทยและออสเตรียเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2412 (ค.ศ. 1869) ด้วยการลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพ การค้า และการเดินเรือ งานนี้ยังเป็นเครื่องเตือนใจว่าการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมสามารถกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีและปูทางไปสู่ความร่วมมือที่มากขึ้นในด้านต่าง ๆ ระหว่างสองประเทศอีกด้วย

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.advantageaustria.org/th/events/next/en

STYLE Bangkok 2024

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้เกียรติเป็นประธาน ในพิธีเปิด “งานแสดงสินค้า STYLE Bangkok 2024 ” ในวันพุธที่ 20 มีนาคม 2567 เวลา 10.00น. โดยมีนายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นำทีมให้การต้อนรับ ณ ฮอลล์ 4 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

STYLE Bangkok 2024 มีกำหนดจัดระหว่างวันที่ 20-24 มีนาคม 2567 แบ่งเป็นวันเจรจาธุรกิจ วันพุธที่ 20 – ศุกร์ที่ 22 มีนาคม 2567 เวลา 10.00-18.00 น. และวันจำหน่ายปลีกวันเสาร์ที่ 23-อาทิตย์ ที่ 24 มีนาคม 2567 เวลา 10.00-21.00 น. ณ ฮอลล์ 1-4 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ผู้ที่สนใจสามารถชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.stylebangkokfair.com Facebook/Instagram/TikTok : Style Bangkok Fair
หรือโทรสายตรงการค้าระหว่างประเทศ 1169

เครือ รพ. พญาไท-เปาโล รุกตลาด EEC เปิดโรงพยาบาลใหม่ รพ. พญาไทศรีราชา 2

ชลบุรี – 19 มีนาคม 2567- เครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล เดินหน้าขยายการให้บริการด้านการแพทย์ในพื้นที่ภาคตะวันออก ล่าสุดประกาศเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โรงพยาบาลพญาไทศรีราชา 2 สอดรับกับนโยบายภาครัฐ ที่ต้องการผลักดันให้ประเทศไทยโดยเฉพาะเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นศูนย์กลางการแพทย์ครบวงจรของภูมิภาคอาเซียน

โรงพยาบาลพญาไทศรีราชา 2 เป็นโรงพยาบาลทั่วไป สามารถรองรับผู้ป่วยนอกได้มากถึง 1500 คนต่อวัน และผู้ป่วยในจำนวนรวมทั้งสิ้น 113 เตียง โดยโรงพยาบาลแห่งนี้เกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการในการให้บริการด้านสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ชลบุรีและใกล้เคียง โดยสืบเนื่องมาจากความสำเร็จของโรงพยาบาลพญาไทศรีราชาสาขาแรก ที่ให้บริการแก่ประชาชนมาเป็นเวลากว่า 28 ปี เป็นโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ ในเครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล กลุ่ม BDMS ให้บริการด้านการแพทย์เฉพาะทางในหลากหลายสาขา โดยเน้นการบริการที่ครอบคลุมและมีคุณภาพสูงสุดต่อประชาชนในพื้นที่ ทั้งผู้ป่วยทั่วไปและผู้ประกันตน จนเป็นที่ไว้วางใจและยอมรับในเขตอุตสาหกรรม EEC (Eastern Economic Corridor) ซึ่งเป็นเขตพัฒนาพิเศษที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ

นายอัฐ ทองแตง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล เปิดเผยว่า “โรงพยาบาลพญาไทศรีราชา เป็นโรงพยาบาลที่ทางกลุ่มมุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพการให้บริการรักษาผู้ป่วยมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเล็งเห็นว่าทุกขั้นตอนการรักษามีความสำคัญ อีกทั้งความพร้อมของทีมแพทย์เฉพาะทางที่มากประสบการณ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย จะเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น”

นายอัฐ กล่าวว่า การพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์เป็นสำคัญของโรงพยาบาล โดยเครือโรงพยาบาลพญาไท-เปาโล ได้สรรหาบุคลากรทางการแพทย์สาขาต่างๆ และมอบทุนการศึกษาต่อสำหรับแพทย์และพยาบาล รวมถึงจัดระบบการเรียนการสอนพิเศษสำหรับทีมสหสาขาวิชาชีพ เช่น พยาบาล นักวิทยาศาสตร์ เภสัชกร และนักเทคนิคการแพทย์ เพื่อเพิ่มความชำนาญในการรักษาโรคเพื่อให้บริการประชาชนในพื้นที่ได้อย่างครอบคลุม โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปรักษาในกรุงเทพฯ

การนำแอปพลิเคชัน Health Up เข้ามาใช้ ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้ง่ายจบในคลิกเดียวบนมือถือ เช่น ดูประวัติการรักษา นัดหมายแพทย์ ข้อมูลความรู้สุขภาพ รวมถึงบริการ Telecare ซึ่งสอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเขต EEC มีประชากรหลั่งไหลเข้ามาอยู่ในพื้นที่กว่าสี่แสนคน และมี lifestyle ของคนยุคใหม่

นายอัฐ เผยว่า โรงพยาบาลพญาไทศรีราชา เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2538 และเริ่มเปิดให้บริการประกันสังคมครั้งแรกเมื่อปี 2542 โดยเน้นคุณภาพและมาตรฐาน ทำให้เพิ่มยอดผู้ประกันตนได้มากถึง 250,000 คน และได้รับรางวัลโรงพยาบาลประกันสังคมในดวงใจในปีที่ผ่านมา ต่อมาปีนี้ได้รับโควต้าเพิ่มอีก 115,000 คน เมื่อพิจารณาถึงความต้องการที่เพิ่มเติมของผู้รับบริการ จึงมีการขยายโรงพยาบาลเพื่อรองรับเหล่านี้ ในเขต EEC ที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมและธุรกิจต่อเนื่อง ความต้องการในการดูแลสุขภาพก็สูงขึ้น เพื่อรองรับผู้ทำงานและกลุ่มแรงงาน ดังนั้น เครือ รพ. พญาไท-เปาโล ได้ลงทุนในการขยายโรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรี เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนในเขต EEC โดยการเปิดตัวโรงพยาบาลใหม่ รพ. พญาไทศรีราชา 2 เพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาลเดิมและมีความตั้งใจที่จะพัฒนา รพ. พญาไทศรีราชา 2 ให้เป็นศูนย์แห่งความเป็นเลิศทางการแพทย์ในอนาคต ในปี 2568 เครือ รพ. พญาไท-เปาโล
ยังวางแผนลงทุนในการเปิดดำเนินการโรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่งในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมบ่อวิน จำนวน 225 เตียง เพื่อเป็นที่พึ่งพาทางด้านสุขภาพของชาวชลบุรีและบริเวณใกล้เคียงในอนาคต

ด้าน นายแพทย์ชาญชัย ลี้สมประสงค์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพญาไทศรีราชา ได้ให้ข้อมูลว่า โรงพยาบาลพญาไทศรีราชาแห่งแรก ได้เปิดให้บริการมาเป็นเวลาเกือบ 3 ทศวรรษ มีการพัฒนาทักษะและความรู้ทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้โรงพยาบาลกลายเป็นที่พึ่งพาของประชาชนในพื้นที่ และผู้ประกันตนได้รับการบริการอย่างคุ้มค่า กล่าวว่า โรงพยาบาลพญาไทศรีราชา มุ่งมั่นที่จะเป็นที่พึ่งพาของประชาชนในเขต EEC โดยมุ่งเน้นการให้บริการที่มีคุณภาพและราคาที่เหมาะสม มีระบบที่ปลอดภัย น่าเชื่อถือ และเครือข่ายที่เข้าถึงได้ง่ายทุกพื้นที่โดยเฉพาะในภาคตะวันออกที่เป็นเขตอุตสาหกรรม เพื่อให้บริการดูแลประชากรอย่างทั่วถึง จึงมีการขยายบริการให้สามารถรองรับผู้ประกันตนประมาณ 500,000 คน โรงพยาบาลพญาไทศรีราชา 2 ได้เปิดขึ้นเพื่อรองรับผู้ประกันตนและผู้ป่วยทั่วไป สำหรับ โรงพยาบาลพญาไทศรีราชาแห่งแรกจะพัฒนาเป็นศูนย์ความเป็นเลิศด้านการแพทย์ โดยปรับปรุงพื้นที่ใหม่เพื่อรองรับผู้ใช้บริการระดับพรีเมียมและผู้ประกันตนที่ต้องการการรักษาโรคเฉพาะทางหรือโรคซับซ้อน โดยได้เริ่มให้บริการรักษาโรคมะเร็งด้วยเคมีบำบัด การผ่าตัดหัวใจ และขยายศูนย์การผ่าตัดผ่านกล้องทุกระบบ นอกจากนี้ยังมีการขยายศูนย์ส่งเสริมสุขภาพและเวชศาสตร์ชะลอวัย และอีกหลากหลายสาขา ที่มีแพทย์เฉพาะทางสาขาต่างๆ จำนวนกว่า 280 ท่าน

ในปีที่ผ่านมาศูนย์ผู้มีบุตรยากของโรงพยาบาลได้รับการรับรองคุณภาพระดับโลก AACI จากประเทศสหรัฐอเมริกา และได้รับประกาศนียบัตรรับรอง Trauma 3 ในการบริหารจัดการฉุกเฉิน และกำลังดำเนินการขอรับรอง TEMSA ซึ่งเป็นมาตรฐานระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินที่ยึดหลักความปลอดภัยใน 3 กลุ่มเป้าหมาย คือ 1. Patient Safety 2. Personnel Safety และ 3. Public Safety เพื่อพร้อมให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โรงพยาบาลพญาไทศรีราชาและเครือข่าย สามารถตอบโจทย์และเป็นที่พึ่งพาของประชาชนในจังหวัดชลบุรีและใกล้เคียงทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ประสบสภาวะอุบัติเหตุฉุกเฉินต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย และมีความเชื่อถือ

พญ. ปรมาภรณ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ (จำกัด) มหาชน กล่าวถึงการขยายธุรกิจการแพทย์ในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษตะวันออก (EEC) ว่า “BDMS มีความมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้อุตสาหกรรม Healthcare ของไทยสามารถดำเนินแนวทางความยั่งยืนตามมาตรฐานโลก โดยเฉพาะการลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพของประชาชนทั่วประเทศ โดยในปัจจุบัน BDMS มีโรงพยาบาลในเครือมากกว่า 50 แห่งทั่วประเทศ และล่าสุดได้ขยายเพิ่มขึ้นอีก 1 แห่ง คือ โรงพยาบาลพญาไท ศรีราชา 2 ของกลุ่มโรงพยาบาลพญาไทและเปาโล บนเขตพื้นที่ศรีราชา เพื่อตอบสนองประชาชนและรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เพิ่มมากขึ้นในพื้นที่นี้ โดยเฉพาะในแง่ของการรับมือกับความต้องการด้านการแพทย์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

การขยายธุรกิจในพื้นที่ EEC ไม่เพียงแต่เป็นการตอบสนองต่อความต้องการในตลาดและความเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้กับองค์กรในการเป็นผู้นำด้านบริการทางการแพทย์ในพื้นที่ EEC ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ในการขยายธุรกิจของกลุ่มโรงพยาบาล นอกจากนี้ ยังมุ่งหวังที่จะช่วยพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) โดยช่วยดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศและรองรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในประเทศไทยตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งเป็นการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาที่มีอยู่ในระดับโลกอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

พญ. ปรมาภรณ์ กล่าวต่อว่า “BDMS ได้รับการจัดว่าเป็นองค์กรที่มีสถานะแข็งแกร่งที่สุดในพื้นที่ EEC ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนที่จะเป็นผู้นำในด้านบริการทางการแพทย์และการดูแลสุขภาพที่เป็นเลิศบนมาตรฐานสากล รวมถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ทำให้เป็นที่ยอมรับและเชื่อถือในวงกว้างของการให้บริการสุขภาพในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงเวลานี้ อีกทั้งยังสร้างโอกาสให้กับชุมชนในพื้นที่ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาด้านการแพทย์และการลงทุนในสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้เศรษฐกิจพื้นที่เติบโตในระยะยาวด้วย”

นายอัฐ กล่าวปิดท้าย “นับเป็นความภาคภูมิใจของเครือ รพ. พญาไท-เปาโล ที่สามารถขยายบริการและสนองความต้องการของประชาชนได้ทุกกลุ่ม โดยเน้นการให้บริการสุขภาพที่มีคุณภาพสูงสุด โรงพยาบาลพญาไทศรีราชา 2 จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งเสริมการพัฒนาพื้นที่เขต EEC ให้มีความยั่งยืนต่อไป ด้วยการให้บริการที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน โดยตั้งเป้าหมายในการนำเสนอประสบการณ์การรักษาที่มีคุณภาพและเทคโนโลยีที่ทันสมัย และมุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการและบริการด้านการแพทย์ที่มีคุณภาพแก่ผู้รับบริการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ”

STYLE Bangkok 2024 ภายใต้ธีม ChicNature

เตรียมพบกับความงามที่มีสไตล์และความยั่งยืนที่เป็นรูปธรรมในงาน STYLE Bangkok 2024 ตั้งแต่วันที่ 20 ถึง 24 มีนาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ชื่นชมกับแก่นแท้ของงานฝีมือและความคิดสร้างสรรค์ของไทย ที่จะบรรจบกับความทันสมัยในผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ แฟชั่น และงานคราฟท์ฝีมือระดับโลก ผู้ประกอบการมากกว่า 500 รายจากทั่วประเทศ และทั่วโลก นำผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ไปจนถึงของขวัญ เสื้อผ้า เครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพไปจนถึงเครื่องครัว และอื่นๆ อีกมากมาย ตอบโจทย์ทุกความต้องการในงานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียมของเอเชีย STYLE Bangkok 2024

  • เผยโฉมแฟชั่นแห่งอนาคต ที่ STYLE Bangkok 2024
  • STYLE Bangkok 2024 เป็นยิ่งกว่างานแสดงสินค้า
  • สืบสานมรกดวัฒนธรรมกับความร่วมสมัยที่ STYLE Bangkok 2024
  • สำรวจอนาคตของแฟชั่นและความยั่งยืนที่ STYLE Bangkok
  • จากมวยไทยสู่แฟชั่น ที่ STYLE Bangkok
  • ยกระดับผ้าทอไทยสู่ตลาดโลกที่ STYLE Bangkok 2024
  • ขุมทรัพย์แฟชั่นสุดสร้างสรรค์ที่ STYLE Bangkok 2024
  • หัตถศิลป์ไทยที่ก้าวข้ามกาลเวลา ในงาน STYLE Bangkok
  • ฟื้นภูมิปัญญาท้องถิ่นกับองค์ความรู้สมัยใหม่ ใน STYLE Bangkok 2024
  • STYLE Bangkok 2024 ส่งเสริมแฟชั่นไทยบนรากฐานความยั่งยืน

สำหรับผู้ชื่นชอบมวยไทย STYLE Bangkok 2024 นำเสนอผลิตภัณฑ์จากนักมวยไทยชื่อดังระดับโลกอย่าง บัวขาว บัญชาเมฆ ภายใต้แบรนด์ “บัวขาว แกลลอรี่” ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณของกีฬาอันเป็นเอกลักษณ์ไทย มาอวดโฉมชาวไทยและชาวโลกเมื่อ ซอฟต์พาวเวอร์ของกีฬาและแฟชั่นมาบรรจบกันได้อย่างน่าทึ่ง

ไฮไลท์ยังไม่ได้จบเพียงเท่านั้น ยังมีมรดกสิ่งทอไทยอันน่าชื่นชมที่บูธ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” โครงการตามแนวพระดำริของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ฟื้นคืนความรู้จากภูมิปัญญาพื้นถิ่นมาบูรณาการร่วมกับองค์ความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เกิดเป็นผลงานการถักทอผืนผ้าและงานหัตถศิลป์ไทยที่มีความร่วมสมัยเป็นสากล ได้อย่างน่าภาคภูมิใจ เป็นที่ยอมรับของตลาดภายในและต่างประเทศ

STYLE Bangkok 2024 จึงไม่ใช่แค่งานแสดงสินค้าเท่านั้น แต่เป็นการเชิดชูเอกลักษณ์และภูมิปัญญาท้องถิ่นในมิติต่างๆ จากผู้ผลิตรายใหญ่ในอุตสาหกรรมไปจนถึงผู้ประกอบการหน้าใหม่ จากความคิดริเริ่มระดับรากหญ้าไปจนถึงวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม บทพิสูจน์ถึงความหลากหลายและความคิดสร้างสรรค์ของหัตถศิลป์ไทย ที่มีรากฐานจากภูมิปัญญาที่สืบทอดมานานต่อยอดกับแนวคิดสมัยใหม่และความยั่งยืนที่กำหนดทิศทางอนาคตของแฟชั่นไทย ที่ STYLE Bangkok 2024

STYLE Bangkok 2024 งานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ชั้นนำของภูมิภาคเอเชีย ภายใต้ธีม “ChicNature’’ตั้งแต่วันที่ 20 ถึง 24 มีนาคม 2567

ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนได้ที่ www.stylebangkokfair.com