All posts by Shanya

เลสโต คอนโด สุขุมวิท 113

เลสโต คอนโด แต่งครบใกล้สถานีสำโรง

เปิดกลยุทธ์บิลท์ แลนด์ ปี 61 รุกขาย “เลสโต” คอนโดแต่งครบใกล้สถานีสำโรง มั่นใจโกยยอดขายทะลุเป้าพันล้าน สร้างความเชื่อมั่นมุ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ปี 62

Lesto Condo Sukhumvit 113 ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญที่ดึงดูดสายตาผู้พัฒนาโครงการรายต่างๆเข้ามาเก็บแลนด์แบงก์ในพื้นที่ทำเลนี้คือการใกล้เปิดบริการของรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายสถานี สำโรง – ปู่เจ้าสมิงพราย และเป็นจุดต่อรถไฟฟ้ากับสายสีเหลืองในอนาคต

บริษัท บิลท์ แลนด์ จำกัด (มหาชน) เผยความสำเร็จจากการเติบโตต่อเนื่อง เปิดแถลงกลยุทธ์รุกตลาดอสังหาฯ ปี 2561 มั่นใจโกยรายได้สูงกว่า 1,000 ล้านบาท และอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมยื่นไฟล์ลิ่งนำบริษัทฯ เข้าตลาดหลักทรัพย์ช่วงไตรมาส 4 เร่งปิดการขายห้องชุดสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ แต่งครบ “เลสโต คอนโด สุขุมวิท 113” สถานีสำโรง จัดงาน OPEN HOUSE 19-20 พ.ค.นี้ พบโปรโมชั่นสุดคุ้ม ฟรีทุกค่าใช้จ่ายในวันโอน หรือฟรีเครื่องใช้ไฟฟ้า ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.45 ล้านบาท

นายชัยรัตน์ ธรรมพีร  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิลท์ แลนด์ จำกัด (มหาชน) เผยว่า “ภาพรวมเศรษฐกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2561 มีแนวโน้มเติบโตไปในทิศทางที่ดีขึ้นมากกว่าปีที่แล้ว เนื่องจากมีปัจจัยที่ดีขึ้นทั้งจากการส่งออก การท่องเที่ยว อัตราดอกเบี้ยทรงตัวค่อนข้างต่ำ นอกจากนี้ภาครัฐยังมีการลงทุนโครงการด้านสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ต่อเนื่อง จึงเป็นสัญญาณที่ดีของภาคอสังหาริมทรัพย์ ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่น และเริ่มกลับเข้าสู่การตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับปัจจุบันชาวต่างชาติหันมาซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก เพราะราคายังถูกอยู่มากเมื่อเทียบกับราคาในประเทศของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง คอนโดมิเนียมที่ยังได้รับความสนใจอยู่จะเป็นบริเวณแนวรถไฟฟ้า รถไฟฟ้าใต้ดินทั้งที่สร้างเสร็จแล้วและส่วนต่อขยาย ในขณะที่กำลังซื้อที่ดินของผู้ประกอบการที่จะนำมาพัฒนาโครงการยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง เพราะมีแหล่งเงินทุนจากต่างชาติเข้ามาลงทุนร่วมกับคนไทยในการประกอบธุรกิจคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะ ญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ ส่งผลให้ราคาที่ดินดิบมีราคาสูงต่อเนื่อง ทำให้ในอนาคตราคาคอนโดมิเนียมจะมีราคาสูงเพิ่มขึ้นตาม ตลาดก็จะมีการแข่งขันมากยิ่งขึ้น ซึ่งจำเป็นที่ผู้ประกอบการจะต้องหาตลาดใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดที่รองรับกำลังซื้อของคนต่างชาติ

โครงการ “เลสโต คอนโด สุขุมวิท 113”  สถานีสำโรง เป็นคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise 8 ชั้น 4 อาคาร จำนวน 786 ยูนิต

สำหรับโครงการล่าสุดของ  บริษัท บิลท์ แลนด์ จำกัด (มหาชน)  คือ “เลสโต คอนโด สุขุมวิท 113”  สถานีสำโรง เป็นคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จแล้ว  แต่งครบพร้อมเข้าอยู่ บนเนื้อที่ 7 ไร่เศษ เป็นคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise 8 ชั้น 4 อาคาร จำนวน 786 ยูนิต มูลค่ากว่า 1,000  ล้านบาท ซึ่งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพสูง ห่างจาก BTS สถานีสำโรงเพียง 400 เมตร และในอนาคตสถานีนี้จะเป็นสถานี Interchange เชื่อมต่อเพื่อเปลี่ยนไปสายสีเหลืองที่วิ่งไปทาง รัชดา – ลาดพร้าว ได้ด้วย”

ด้วยประสบการณ์ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์  ของ  บริษัท บิลท์ แลนด์ จำกัด (มหาชน) ที่มีมากว่า 10 ปี และประสบความสำเร็จอย่างสูงในการปิดขายโครงการต่างๆ ในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้นในปี 2561 บริษัทจึงตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับปี 2560 โดยบริษัทเน้นที่อัตราการทำกำไรให้สูงขึ้น เนื่องจากโครงการต่างๆ ที่มีอยู่นั้น บริษัทได้มีการปรับขึ้นราคาขายไปแล้ว 5-10% โดยเฉพาะโครงการห้องชุด ซึ่งอยู่ในแนวรถไฟฟ้า เช่น โครงการ “เลสโต คอนโด สุขุมวิท 113” สถานีสำโรง ซึ่งเป็นย่านชุมชนที่ยังมีความต้องการที่พัก อาศัยค่อนข้างสูง โดยเป็นโครงการที่มีความคุ้มค่าเงินสูงสุดในราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่าย และเป็นคอนโดมิเนียมเพียงไม่กี่แห่งที่มีรถไฟฟ้าผ่านถึง 2 เส้นทาง (สายสีเขียวและสายสีเหลือง) เพื่อความสะดวกในการเลือกเดินทาง หรือกรณีใช้รถยนต์ส่วนตัวสามารถใช้ถนนสุขุมวิท หรือทางด่วนเข้าสู่กรุงเทพฯ ชั้นในได้สะดวกเช่นกัน

นอกจากนี้ นายชัยรัตน์ ธรรมพีร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิลท์ แลนด์ จำกัด (มหาชน) ยังมีเป้าหมายที่จะนำ “บิลท์ แลนด์” เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายในปี 2562 เพื่อรองรับแผนการขยายการลงทุนในอนาคต

สำหรับแผนการกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ของ “บิลท์ แลนด์” นั้น บริษัทฯ จะเพิ่มทุนอีกจำนวน 100 ล้านหุ้น เพื่อขายให้แก่ประชาชนทั่วไป ส่วนราคาเสนอขายก็จะต้องรอปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงินก่อน ปัจจุบันธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยังเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างผลกำไรได้สูง เนื่องจากเรามีความเชี่ยวชาญในการบริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์ มองขาดในเรื่องทำเล คุณภาพของงานก่อสร้าง ครอบคลุมไปถึงการบริหารจัดการหลังการขายที่มีบริษัท บิลท์ ฮาร์ท จำกัด ช่วยในการบริการลูกค้า จัดการบริหารอาคารนิติบุคคล คอยรองรับการบริหารห้องชุดให้ลูกค้าในกรณีที่มีความต้องการขายต่อหรือให้เช่า รวมทั้งรู้จักกลุ่มเป้าหมายที่เป็นลูกค้าของเราเป็นอย่างดี

นายชัยรัตน์ ธรรมพีร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิลท์ แลนด์ จำกัด (มหาชน)

สำหรับโครงการในอนาคตจะเน้นไปที่การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวสูง
เป็นหลักที่ระดับราคา 2-5 ล้านบาท เพื่อกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่ต้องการใช้ชีวิตอิสระ ปลอดภัย สะดวกสบายในการดูแลรักษา และง่ายต่อการเดินทาง ส่วนแผนการร่วมทุนบริษัทข้ามชาตินั้น บริษัทยังเปิดกว้างอยู่ตลอด ที่ผ่านมาได้มีหลายบริษัทในประเทศเอเชีย เช่น สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ติดต่อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความร่วมมือดังกล่าวจะมีส่วนสนับสนุนการขยายตลาดไปสู่ลูกค้าต่างชาติมากขึ้น โดยในการพิจารณาผู้ร่วมทุนนั้น บริษัทให้น้ำหนักเรื่องเม็ดเงินลงทุนและแนวทางการทำงานร่วมกันว่าสามารถร่วมกันได้หรือไม่เป็นหลัก ส่วนในเรื่องเทคโนโลยีหรือโนว์ฮาวต่างๆ นั้นเป็นเรื่องรองลงมา” นายชัยรัตน์ กล่าว

บริษัท บิลท์ แลนด์ จํากัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ.2552 เพื่อดําเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โครงการบ้าน ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดมิเนียม ทั้งในเขตกรุงเทพมหานครและเขตปริมณฑล รวมถึงแนวรถไฟฟ้า เน้นการออกแบบที่อยู่อาศัยตามความต้องการพื้นฐานเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ที่มีอยู่อย่างจํากัดได้อย่างคุ้มค่า โดยผลงานที่ผ่านมา ประกอบด้วย

· ปี 2552 – เปิดตัวโครงการแรก คือ The Tempo ร่วมฤดี มูลค่าโครงการ 400 ล้านบาท

· ปี 2553 – เปิดตัวโครงการ The Tempo พหลโยธิน มูลค่าโครงการ 395 ล้านบาท

· ปี 2554 – เปิดตัวโครงการ The Tempo รัชดา มูลค่าโครงการ 312 ล้านบาท และ The Tempo M ติวานนท์ มูลค่าโครงการ 295 ล้านบาท

· ปี 2555 – เปิดตัวโครงการแนวราบ โครงการแรก Tempo Town รัตนาธิเบศร์-ไทรม้า มูลค่าโครงการ 136 ล้านบาท

· ปี 2556 – เปิดตัวโครงการตึกสูง Tempo Grand สาทร-วุฒากาศ มูลค่าโครงการ 2,690 ล้านบาท

· ปี 2557 – เปิดตัวโครงการ Tempo One รามคำแหง-พระราม 9 มูลค่าโครงการ 300 ล้านบาท

· ปี 2558 – เปิดตัวโครงการ Tempo Quad สะพานใหม่ มูลค่าโครงการ 350 ล้านบาท

· ปี 2559 – เปิดตัวโครงการ The Ritmo ชัยพฤกษ์-วงแหวน มูลค่าโครงการ 1000 ล้านบาท และโครงการ Lesto Condo สุขุมวิท 113 มูลค่าโครงการ 1068 ล้านบาท

บริษัท บิลท์ ฮาร์ท จํากัด  เปิดขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ในการรองรับการบริการหลังการขายของ บริษัท บิลท์ แลนด์ จํากัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยมิได้มีวัตถุประสงค์หลักในเรื่องของผลกำไร แต่ช่วยในการบริการลูกค้า ในการจัดการบริหารอาคารนิติบุคคล และคอยรองรับการบริหารห้องชุดให้ลูกค้าในกรณีที่มีความต้องการขายต่อ หรือให้เช่า พร้อมกันนี้บริษัท บิลท์ ฮาร์ท เองก็จะทําการศึกษาข้อมูลทางการตลาดจากสภาวะแวดล้อมจริง พร้อมกับประเมินความเสี่ยง ปัจจัยต่างที่จะส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค เพื่อนําข้อมูลส่งต่อให้กับกลุ่มบริษัทฯ เพื่อใช้ในการปรับปรุง และพัฒนาบริษัทและผลิตภัณฑ์ต่อไป

โครงการ “เลสโต คอนโด สุขุมวิท 113”  สถานีสำโรง เป็นคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise 8 ชั้น 4 อาคาร จำนวน 786 ยูนิต ที่มีพื้นที่ส่วนกลางกว่า 3,000 ตารางเมตร ประกอบด้วย Triple Club คลับเฮ้าส์ 3 ชั้น หน้าโครงการ ไว้ให้พักผ่อนหรือรองรับเพื่อนฝูง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกระดับ 5 ดาว ไม่ว่าจะเป็น Fitness Room, Swimming Pool, Yoga Fly, Play Room, Movie Room, BBQ Deck, Library Room, Co-Working Space พร้อมสวนขนาดใหญ่รายล้อมโครงการ เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับทุกอาคาร สามารถตอบโจทย์ความสุขของการอยู่อาศัยได้อย่างรอบด้าน

ทั้งนี้ ในวันเสาร์ที่ 19  และวันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม นี้   “บิลท์ แลนด์”  จะจัดงาน “LESTO OPEN HOUSE” ในธีม “รวมร้านเด็ดย่านสำโรง” เปิดให้ผู้ที่สนใจเข้ามาร่วมชมห้องชุด  แต่งครบพร้อมเข้าอยู่ ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.45 ล้านบาท พร้อมร่วมสนุกกับกิจกรรมเวิร์คช้อปสุดคูล และชิมอาหารจานเด็ดแนะนำจาก Wongnai

สำหรับผู้ที่จองในวันงาน
เลือกฟรี! ทุกค่าใช้จ่ายในวันโอน หรือ ฟรี! เครื่องใช้ไฟฟ้า
นอกจากนี้ยังฟรี! วอลล์เปเปอร์ทุกยูนิต ฟรี! เครื่องปรับอากาศ 15,000 บีทียู และเครื่องทำน้ำอุ่น และในวันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม 2561

ช่วงระหว่างเวลา 16.00-17.00 น. ร่วมสนุกกับมินิคอนเสิร์ตจาก
“ป๊อป-ปองกูล” ณ TRIPLE CLUB คลับเฮ้าส์ 3 ชั้น หน้าโครงการ
“เลสโต คอนโด”

เว็บไซต์โครงการ: builtland.co.th/lestocondo

 

 

ชวนเพื่อนมายืด Bulgogi Brothers

เมนูเด็ดของร้านเกาะกระแสสุขภาพกับเมนู King’s Bibimbup 

ร้าน บูลโกกิ บราเธอร์ส ทั้ง2 สาขา Bulgogi Brothers  ร้านที่หลายคนมักคิดถึงเวลาอยากกินอาหารเกาหลีต้นตำรับ และถ้าพูดถึงร้านต้นตำรับอาหารเกาหลีแท้ๆ ที่ไม่ต้องบินไปไกลถึงเกาหลี วันนี้เรามีโอกาสนัดเพื่อนๆ สัมผัสกันเต็มๆ ที่ร้านอาหารเกาหลีสุดฮิต ร้านนี้มีความอร่อยจัดเต็มเเบบต้นตำรับจากเกาหลี ปิ้งย่างที่ไม่ว่าจะสายไหนก็ต้องชอบ เนื้อเกรดดีระดับพรีเมี่ยมปิ้งย่างมีให้เลือกอร่อยทั้งเนื้อวัวอย่างดี หมูสามชั้นรมควัน หมูสามชั้น คอหมู หมูสไลซ์ราดซอสรสเข้มข้น ที่ไม่ไปไม่ได้แล้วอร่อยฟินคุ้มแค่ไหนก็อย่าพลาดนั่งทานแบบชิลๆ จิ้มน้ำจิ้มสูตรพิเศษของทางร้าน (มีรสหวานเเละเผ็ด) เสริฟพร้อมเครื่องเคียงมาแบบจัดเต็มกันจริงๆ เติมได้ตลอด เเละเมนูอะลาคาร์ทอร่อยๆ มีอีกมากมาย อย่างบิบิมบับ ไก่ทอดเกาหลี หมูบลูโกกิ หมูผัดกิมจิ Top Hit ไก่สไปซี่ส์ชีส ให้เพื่อนๆได้สัมผัส Alternative Menu ที่ผสมผสานระหว่างซอสสูตรต้นตำหรับเกาหลี และชีสยืดแสนอร่อย ผักสดนานาชนิดเเละเมนูที่มีชีสเอาไปยืดกันให้สุดพลัง  บอกเลยเอาใจคนรักเมนูเกาหลี มีให้เลือกหลากหลายน่าลองทุกเมนู


ร้านอาหารเกาหลีที่ได้รับความนิยมเกรดพรีเมี่ยม ร้านอาหารเกาหลีรสชาติอร่อยเเบบเกาหลีแท้ๆ ค่ะ มีเมนูอาหารให้เลือกหลากหลายเเถมความพิเศษของร้านนี้ก็คือเป็นร้านอาหารที่มีสูตรเคล็ดลับความอร่อย เพราะเนื้อที่คัดสรรมาอย่างดี บวกกับเตาย่างที่ทันสมัย แถมบรรยากาศภายในร้านยังเป็นห้องแอร์ บอกได้เลยไม่มีคำว่าร้อนแน่นอน



เกาะกระแสสุขภาพกับเมนู King’s Bibimbup หนึ่งในเมนูยอดนิยมที่รสชาติโดดเด่นจากซอสสูตรเฉพาะของเรา พร้อมด้วยผักและสมุนไพรหลากหลายชนิด ที่จะทำให้ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันแก่ร่างกายได้ มาชวน!! ส่งต่อความอร่อยในเมนูพระราชทานสุดพิเศษ ซึ่งจะผลิตและจำหน่ายเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนเมษายน เท่านั้น บูลโกกิ บราเธอร์ส ได้จัดเมนูพิเศษ “รอยัล บิบิมบัพ” ข้าวยำสไตล์เกาหลี

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาแนะใช้น้ำมันเมล็ดชาโครงการภัทรพัฒน์ เป็นส่วนประกอบในการปรุง โดยนำมาคลุกเคล้าใน เนื้อวัว เนื้อหมู และซีฟู้ด รวมไปถึงผักนานาชนิด จนเป็นข้าวยำสไตล์เกาหลีที่หอมอร่อย เต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ในราคาเพียง 359 บาท

บูลโกกิ บราเธอร์ส ได้จัดเมนูพิเศษ “รอยัล บิบิมบัพ” ข้าวยำสไตล์เกาหลี

เต็มอิ่มไปกับเมนูปิ้งย่าง หรือเมนูหม้อไฟ ที่มีอาหารให้เลือกอย่างหลากหลาย และรสชาติอาหารแบบออริจินัลเกาหลี ที่ไม่เหมือนใครมาลิ้มลองลองความอร่อยแสนพิเศษกับ “รอยัล บิบิมบัพ” จากร้าน บูลโกกิ บราเธอร์สทั้ง2 สาขา (ชั้น8 โซนเฮลิกซ์ควอเทียร์ ศูนย์การค้าดิเอ็มควอเทียร์ และชั้น 2 ศูนย์การค้าสเปลล์ แอท ฟิวเจอร์พาร์ค)รายได้หลังหักค่าใช้จ่าย มอบสมทบทุนมูลนิธิชัยพัฒนา





มาลองความอร่อยที่ลงตัวแบบนี้ได้ที่ BulgogiBrothers
ที่อยู่ The Emquartier อาคาร Helix ชั้น 8
เบอร์ติดต่อ โทร.098 246 0888 (ชั้น 8 ดิเอ็มควอเทียร์)
โทร.02 402 4545 (ชั้น 2 สเปลล์ แอท ฟิวเจอร์พาร์ค)
เวลา เปิด-ปิดเปิด ให้บริการ 11:30 -22:00 น.
ประเภทร้านKorean ( อาหารเกาหลี )
Facebook:
https://www.facebook.com/Bulgogi.Brothers.Thailand
http://bulgogibrothers.co.th/

 

 

Tommy Tang สุดยอดเชฟเซเลบฯ ระดับตำนานของดาราฮอลลีวู้ด

เจ้าของตำราการทำอาหารชื่อว่า
“อาหารไทยยุคใหม่”

สัปดาห์นี้ ขอชวนแฟนๆ รายการ  เชฟทัวร์ ครัวติดดิน Street  Chefs  มารู้จักและ พูดคุยกับเชฟอาหารไทย ขวัญใจฮอลลีวูด Tommy Tang (ทอมมี่ แทง) รายการน้องใหม่ “เชฟทัวร์ ครัวติดดิน Street Chefs”  เป็นรายการที่จะพาไปเฟ้นหาร้านอร่อยสุดๆ  ค้นหาวัตถุดิบสุดเด็ดประจำท้องถิ่นนั้นๆ แล้วนำมารังสรรค์เป็นเมนูใหม่จานพิเศษ  ด้วยฝีมือของเชฟทอมมี่ Tommy Tang หนึ่งในผู้บุกเบิกที่ทำให้อาหารไทยเป็นที่รู้จัก นิยมในอเมริกา และทั่วโลก  ตั้งแต่เด็กจนโต จากการเดินทางไปเสี่ยงโชคที่ประเทศอเมริกา

Tommy Tang เริ่มด้วยการเป็นผู้จัดการวงดนตรีร็อก และ  Music Producer และมาเริ่มชอบทำอาหารมาตั้งแต่เริ่มงานในตำแหน่ง  ผู้จัดการร้านและเป็นเชฟร้านอาหารไทย ความสนใจในอาหารรสเลิศที่เพิ่มมากขึ้น กำลังช่วยยกระดับอุตสาหกรรมนี้ ทำให้บรรดาเชฟท้องถิ่นก็เรียนรู้เพิ่มขึ้นจากร้านอาหารในต่างประเทศ โดยใช้เวลาแค่เพียง 1 ปี แต่ในที่สุด Tommy Tang ได้ค้นพบว่าคำตอบสำหรับชีวิตที่แท้ของเขานั่นคืออาหาร ด้วยความสามารถและเป็นเอกลักษณ์ของ Chef Tommy Tang   อาหารไทยก็เป็นที่รู้จัก และนิยม โดยมีเหล่า Celebrities คนดัง ระดับฮอลลีวูด ติดใจกับอาหารไทยที่ Chef Tommy Tang ปรุง เช่น Jackson Browne, Earth Wind and Fire, Queen, Orson Wells, Cher, Tom Cruise, Robin Williams, Billy Crystal

Tommy Tang ทำงานและเรียนในประเทศสหรัฐอเมริกา  โดยในราวปี
คริสศตวรรษที่ 70  จบการศึกษาที่วิทยาลัยพาลอสเวอดี้ในรัฐแคลิอร์เนียภาคใต้ ประสบการณ์จากการได้รางวัลไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ในอเมริกา

-ผู้จัดการวงดนตรีร็อคและผู้อำนวยการผลิตงานเพลง

-ผู้บุกเบิกร้านอาหารและชอปปิ้งบนถนนเมลโรส ปี1986

-เจ้าของและเป็นเชฟทำอาหารที่ร้านอาหารไทย ชื่อร้านTommy Tang
ในเมืองเวสท์ฮอลลีวูด และ ที่นิวยอร์ค ดาราและผู้มีชื่อเสียง เช่น  แจ็กสันบราวน์วงดนตรีเอิร์ธวินด์แอนด์ไฟร์  วงดนตรีควีนวงดนตรีโรลลิ่งสโตนนักแสดงออร์สันเวลส์นักแสดงอย่างแฮริสันฟอร์ดโรเบิร์ทเดอนิโรทอมครูซโรบินวิลเลี่ยมส์บิลลี่คริสตัลเดวิดเลตเตอร์แมนมาเป็นลูกค้าขาประจำ และชื่นชอบอาหารไทยที่ร้านมาก

-เขียนตำราการทำอาหารชื่อว่า “อาหารไทยยุคใหม่” ได้พิมพ์ออกจำหน่ายในปี1991หนังสือเล่มนี้  ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนังสือที่ให้ความกระจ่างของศิลปะในการเตรียมอาหารไทยยุคใหม่

Tommy Tang (ทอมมี่ แทง) รายการน้องใหม่ เชฟทัวร์ ครัวติดดิน Street Chefs

ในที่สุดได้มีการพิมพ์จำหน่ายซ้ำ รวมทั้งหมดแปดครั้งด้วยกัน ใน ปี 1995  สถานีโทรทัศน์ของ PBS USA ได้เชิญ คุณทอมมี่ ทำรายการการทำอาหาร การท่องเที่ยวรายการ TOMMY TANG’S   EASY THAI COOKING  จนกระทั่งรายการฮิตติดอันดับหนึ่งหลายปีติดกัน

Tommy Tang เชฟไทยที่โด่งดัง ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามจากการทำรายการทีวีผ่าน PBS อเมริกาประเภทรายการการทำอาหารและการท่องเที่ยวที่ชื่อ  Tommy Tang – Easy Thai Cooking และTommy Tang- Let’s Get Cooking ทางสถานีโทรทัศน์ PBS อเมริกาแคนาดา  ด้วยเรตติ้งสูงสุดหลายปีติดต่อกัน

Tommy Tang (ทอมมี่ แทง) เชฟอาหารไทย ขวัญใจฮอลลีวูด

การเดินทางมาครั้งนี้  เพื่อถ่ายทำรายการ เชฟทัวร์ครัวติดดิน Street Chefs  ทีวีในประเทศไทยเป็นครั้งแรกของ รายการ เชฟทัวร์ ครัวติดดิน Street Chefs ทางช่อง 7 สี  รายการที่เฟ้นหา สุดยอดร้านอร่อย และค้นหาสุดวัตถุดิบคุณภาพดีจากทั่วประเทศ แต่ละชนิดเป็นวัตถุดิบเด็ดประจำท้องถิ่นนั้นๆ  โดย เชฟอาหารไทย ขวัญใจฮอลลีวูด นำมารังสรรค์เป็นเมนูใหม่จานพิเศษ  ทั้งขั้นตอนการปรุงที่มีเทคนิคการจัดเตรียม ตั้งมีด เขียงแต่ละชนิดที่ใช้เตรียมอาหารก่อนปรุง จนจบขั้นตอนเป็นเมนูสุดยอดของแต่ละร้าน

เชฟทัวร์ครัวติดดิน Street Chefs   โดยมี  หนุ่มอนุวัต  และ ปุ้ม  เปรมสุดา
ทำหน้าที่พิธีกร  ทุกวันจันทร์ และ อังคารออกอากาศ เวลา 13.00 น.
ทางช่อง 7 สี

ดีป้า โชว์สุดยอด 5 ผลงาน จากผู้เชี่ยวชาญด้านวีอาร์ของเมืองไทย

จัดแสดงผลงานผู้สร้างฝีมือคนไทย
ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ

เทคโนโลยี Virtual Reality  ที่กำลังน่าจับตามองในปัจจุบันสำหรับใครหลายคนคงไม่พ้นเทคโนโลยี Virtual Reality หรือ VR เทคโนโลยีวีอาร์จากผู้สร้างฝีมือคนไทย  เป็นโครงการที่มุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีดิจิทัล  ให้เป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ

ดีป้า  เดินหน้าต่อเนื่อง  สร้างคนพันธุ์ดิจิทัลภายใน 5 ปี  เทคโนโลยีวีอาร์ มีบทบาทสำคัญมากขึ้นต่ออุตสาหกรรมหลายแขนง ทั้งในประเทศและระดับสากล เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อน  วงการดิจิทัลไทย ให้ก้าวหน้าเติมเต็ม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตลาดหลักทรัพย์ การแพทย์ การซื้อขาย การท่องเที่ยวเยี่ยมชมสถานที่ หรือการผลักดันจินตนาการณ์ต่างๆ ให้กว้างออกไปมากที่สุดจากขีดจำกัดเดิมๆ เป็นโอกาสอันดีสำหรับคนรุ่นใหม่ ทุกอย่างง่ายขึ้นมาก และมีการสนับสนุนที่หลากหลาย เราอยากจะให้เด็กๆ ได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการดีๆ แบบโครงการ VR Inventors

VR คือคำตอบที่ตอบโจทย์ในทุกๆสิ่ง โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีวีอาร์ที่ทวีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นต่ออุตสาหกรรมแขนงต่างๆ ทั้งในประเทศและระดับสากล ให้เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนวงการดิจิทัลไทยให้ก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) จัดแสดงผลงานวีอาร์ของนักพัฒนาคนรุ่นใหม่จาก โครงการ VR Inventors เพื่อผลิตนักพัฒนาโปรแกรมและเนื้อหาโลกเสมือนจริง (Virtual Reality) หลังผ่านการบ่มเพาะมายาวนานกว่า 2 เดือน พร้อมโปรแกรมศึกษาดูงาน ณ กรุงปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ อีก 1 เดือนเต็ม ภายใต้คำแนะนำและดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้เชี่ยวชาญ ก่อนคัดเลือกเหลือสุดยอด 5 ผลงาน ได้แก่ M72LAW Simulator วีอาร์จำลองการใช้งานเครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถัง , Falling Down เกมการศึกษา  ชั้นเปลือกโลกและธรณีวิทยา ผ่านการนั่งยานแสนสนุกลงใต้พิภพ , What the Tower? วีอาร์เกมแข่งต่อกล่องขึ้นไปให้สูงที่สุดภายใต้เวลาอันจำกัด , Music Band VR พัฒนาศักยภาพด้านสมองด้วยการฟังเสียงดนตรี เสริมสร้างทักษะการฟังเสียงของเครื่องดนตรีแต่ละชนิด , Land of Smiles  วีอาร์   โดยนำเสนอสถาปัตยกรรมไทย ความน่ากลัวของผีไทย และ ไสยศาสตร์ไทย โดยทั้งหมดจัดแสดง ณ บูท VR Inventors รอยัล พารากอน ฮอลล์ ศูนย์การ
ค้าสยามพารากอน วันก่อน

นายนรสิทธิ์ ยอขันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมอุตสาหกรรมดิจิทัล กล่าวว่า
“อรรถประโยชน์ของวีอาร์มีมากมาย เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ เช่น เรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้วไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้ สถานการณ์หรือสถานที่ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เราก็สร้างวีอาร์ขึ้นมาจำลองสถานการณ์ขึ้นมา รวมไปถึงใช้วีอาร์เพื่อการฝึกฝนและสร้างความรู้ความเข้าใจในเหตุการณ์หรือทฤษฎีต่างๆ ที่มีความซับซ้อนให้เข้าใจได้
ง่ายยิ่งขึ้น

ดีป้าเล็งเห็นว่า วีอาร์เป็นเทคโนโลยีที่กำลังมีความสำคัญมากขึ้นในอนาคต โครงการนี้นับได้ว่าเป็นครั้งแรกของประเทศไทยที่มีการสนับสนุนจากรัฐและเอกชนด้าน VR อย่างเต็มที่ แม้แต่คนที่ไม่ได้สนใจโครงการก็อยากให้ลองศึกษาดูเพราะเป็นเทคโนโลยีใกล้ตัวและส่งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจดิจิทัล จึงเห็นว่าควรเพิ่มจำนวนนักพัฒนาวีอาร์ และผลักดันให้นักพัฒนาวีอาร์ในประเทศไทยของเราสามารถก้าวขึ้นเทียบเท่านักพัฒนาวีอาร์ระดับโลกต่อไปได้ ทั้งนี้ ดีป้ามั่นใจว่า การพัฒนาบุคลากรและสร้างคนด้านดิจิทัล ในระยะสั้นต้องเร่งผลักดันให้เห็นผลภายใน 5 ปี เนื่องจากเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว”

นายจัตุพร รักไทยเจริญชีพ กราฟฟิค ดีไซน์เนอร์ VR M72LAW Simulator กล่าวว่า “M72LAW Simulator ที่ทีมเราพัฒนานี้เป็นวีอาร์จำลองการใช้งานเครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถังไปยังเป้าหมายเพื่อประหยัดงบประมาณในการฝึก และให้ผู้ฝึกได้รับประสบการณ์แบบไร้ขีดจำกัด โดยจำลองโลกเสมือนจริงในทุกๆ การกระทำและทุกๆ สภาวะ ไม่จำกัดกระสุน อุปกรณ์ในรูปแบบต่างๆ เราได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารโดยตรง  มาช่วยแนะนำรูปแบบการผลิต ให้สอดคล้องกับการนำไปใช้งานได้จริงในองค์กรทางทหาร หลังจากเสร็จสิ้นโครงการนี้วางแผนพัฒนาต่อยอดให้การฝึก
ทางยุทธวิถีเต็มรูปแบบมากขึ้น”

นายจิระพัฒน์   เต็มเปี่ยม  โปรแกรมเมอร์  VR Land of Smiles  กล่าวว่า
“ตั้งใจนำเสนอสถาปัตยกรรมไทย ความน่ากลัวของผีไทย และไสยศาสตร์ไทย แต่ยังคงความสนุกของเกมยิงแบบมุมมองบุคคลที่หนึ่ง โดยมีจุดเด่นคือ การใช้อาวุธไสยศาสตร์และมี Mission ที่เพิ่มความสามารถของผู้เล่นได้ ข้อดีที่ได้รับจากโครงการนี้คือ การได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญอธิบายให้เข้าใจ ออกแบบเกมได้เป็นระบบและเข้าที่มากขึ้น การจูนให้พอดีและสนุก ซึ่งมันมีหลายส่วนมาก ถ้าอะไรมากเกินไปนิดนึงเสียสมดุลไปก็จะไม่สนุกครับ”

นางสาวประยุดา อนาพร กราฟฟิค ดีไซน์เนอร์ VR Music Band VR กล่าวถึงแนวคิดที่พัฒนาวีอาร์เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านสมองด้วยการฟังเสียงดนตรี เสริมสร้างทักษะการฟังเสียงของเครื่องดนตรีนี้ว่า “วีอาร์นี้เปรียบเสมือนเพลย์กราวด์ของผู้เรียน เป็นเหมือนเครื่องมือให้ได้ทดลองผสมเสียงเครื่องดนตรีต่างๆ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างทักษะการฟังเสียงดนตรีแต่ละชนิด นอกเหนือจากนี้ยังสามารถวิเคราะห์ และแยกแยะเสียงเครื่องดนตรีแต่ละชนิดได้ และยังสามารถทำแบบทดสอบเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจด้านดนตรีได้อีกด้วย”

นายศรัณย์ รัตนกุลวรานนท์ โปรแกรมเมอร์ VR Falling Down กล่าวว่า “Falling Down คือเกมการศึกษาเกี่ยวกับชั้นเปลือกโลก และธรณีวิทยาสำหรับเด็กอายุ 6-12 ปี ผ่านประสบการณ์นั่งยานแสนสนุกลงใต้พิภพ ในรูปแบบเสมือนจริง พร้อมตื่นตาไปกับสิ่งมีชีวิตและสภาพแวดล้อมแสนสวยงาม อีกทั้งภายในเกม ผู้เล่นยังสามารถสนุกสนานไปกับการตามล่าสิ่งของพิเศษที่รอให้สะสมอีกด้วย ภายในเกมผู้เล่นจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับชั้นเปลือกโลกภาคพื้นทวีป ชั้นเมนทัลและแก่นโลก นอกจากนี้ผู้เล่นยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต หินแร่ และฟอสซิลที่มีอยู่ในชั้นต่างๆ เช่น ปลาปักเป้า ปลาจาละเม็ด สาหร่าย ปะการัง หินอัคนี ฟอสซิลทีเร็กซ์ และอื่นๆ อีกมากมาย”

นายสุภชัย ชูสิทธิ์ โปรแกรมเมอร์ VR What ‘s the! ? Tower กล่าวว่า
“What ‘s the! ? Tower เป็นวีอาร์ที่มีแนวคิดต้นกำเนิดมาจากเกมกระดาน โดยต่อกล่องขึ้นไปให้สูงที่สุด โดยการจำกัดเวลา และใช้ความสูงที่ผู้เล่นทำได้มาเป็นเกณฑ์การให้คะแนน ผู้เล่นจะพบความท้าทายและประหลาดใจ ที่จะช่วยส่งเสริมอารณ์ในขณะเล่นเกม หลังจากนี้วางแผนจะต่อยอดโครงการโดยนำไปพัฒนาต่อให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น และเตรียมนำวีอาร์ขึ้นแอพสโตร์ให้ผู้สนใจทุกคนดาวน์โหลดมาเล่นได้จริง”

สถานที่ บูท VR Inventors รอยัล พารากอน ฮอลล์
ศูนย์การค้าสยามพารากอน
รายละเอียดโครงการ  www.VRInventors.depa.or.th

เปิดตัวแอป ทรู เถ้าแก่ 4.0 – True Merchant 4.0 สำหรับร้านค้า

สมัครฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ต้องลงทุนเพิ่ม

กลุ่มทรู ผนึก ทรูยู ทรูไอดี ทรูมันนี่ สานต่อนโยบายรัฐก้าวสู่สังคมไร้ เงินสด เปิดตัวแคมเปญ “True Point & Pay ยิ่งขาย ยิ่งจ่าย ยิ่งได้ทรูพอยท์” ผ่าน “ทรูเถ้าแก่ 4.0-True Merchant 4.0” แอปพลิเคชันใหม่คู่ใจร้านค้า ช่วยเพิ่มยอดขาย และกำไร

นำ “โป๊ป ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ” เชื่อมต่อกระแส ออเจ้า เจาะกลุ่มพ่อค้าแม่ค้ายุคใหม่ เจ้าของร้านค้ามาเป็นพันธมิตร เพื่อให้ธุรกิจเติบโตไปด้วยกัน สมัครฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ต้องลงทุนเพิ่มและยังโปรโมทร้านฟรีผ่านสื่อแบบครบวงจรอีกด้วย โดยแอปฯ “ทรูเถ้าแก่ 4.0-True Merchant 4.0” ซื้อ-ขายง่าย ผ่าน QR Code เพียงสแกน QR Code ของร้านก็ชำระเงินผ่าน ทรูมันนี่ วอลเล็ทได้ทันที ปลอดภัย ไม่ต้องใช้เงินสด

นายฐานพล มานะวุฒิเวช ผู้อำนวยการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ และบริหารความสุขลูกค้าบมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า …
เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้ายุคดิจิทัล สนับสนุนการสร้างสังคมไร้เงินสดตามนโยบายของรัฐบาล จึงเปิดแคมเปญยิ่งใหญ่แห่งปี True Point & Pay ชูแนวคิด ยิ่งขาย ยิ่งจ่าย ยิ่งได้พอยท์ โดยสำหรับลูกค้ายิ่งใช้จ่าย ยิ่งได้พอยท์เพิ่ม

ส่วนร้านค้ายิ่งขาย ยิ่งได้ ยิ่งรวย ดึงพระเอกแห่งยุคโป๊ป ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ มาชวนร้านค้าให้มาร่วมเป็นพันธมิตรกับทรู เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชันใหม่ “ทรูเถ้าแก่ 4.0- True Merchant 4.0”

นายธีรวัฒน์ ติลกสกุลชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทรูมันนี่ จำกัด (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ในฐานะที่ทรูมันนี่เป็นผู้ให้ บริการด้านการชำระเงินอิเล็ กทรอนิกส์ และบริการทางการเงินสำหรับผู้ บริโภคในยุคดิจิทัล รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาร่ วมแคมเปญนี้ ลูกค้าและร้านค้าจึงสามารถมั่ นใจและวางใจได้ว่านอกจากได้รั บความสะดวกสบายในการใช้จ่ายแล้ว ยังจะได้รับการปกป้องรั กษาความปลอดภัยบัญชีผู้ใช้ด้วยมาตรฐานระดับโลก”

นางสาวญาดาผนิต โพธิ์เนียร หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการพาณิ ชย์ บริษัท ทรู ดิจิตอล แอนด์ มีเดีย แพลตฟอร์ม จำกัด กล่าวว่า “ทรูไอดี แอปพลิเคชันที่ตอบโจทย์ ความความต้องการที่ หลากหลายของลูกค้าในทุกไลฟ์สไตล์ รู้สึกยินดีที่ได้มอบสิทธิพิเศษต่างๆ จากทรูยู โดยทุกการใช้จ่าย 25 บาทจะได้รับ 1 ทรูพอยท์เพื่อนำไปแลกรับเป็นส่วนลดในร้านค้าต่างๆ อีกมากมาย”

ซื้อ-ขายง่าย ผ่าน QR Code เพียงสแกน QR Code ของร้าน ก็ชำระเงินผ่าน ทรูมันนี่ วอลเล็ท ได้ทันที ปลอดภัย ไม่ต้องใช้เงินสด ไม่ต้องทอนเงินทุกรายรับ 25 บาท ร้านค้าจะได้รับทรูพอยท์ 1 คะแนน ทุกการชำระเงิน 25 บาท ลูกค้าจะได้รับทรูพอยท์ 1 คะแนน สะสมได้ผ่านแอปฯ นำไปเป็นส่วนลด และแลกซื้อสินค้าได้มากมาย



ลูกค้าทรูมูฟ เอช ที่ชำระเงินผ่านทรูมันนี่ วอลเล็ท ในแอปทรูไอดี ณ ร้านค้า
ที่ร่วมรายการ ก็จะได้ รับทรูพอยท์เพิ่มเป็น 10 เท่าในทุกวันที่ 10 ของเดือน (สูงสุดไม่เกิน 300 ทรูพอยท์ต่อเดือน) ตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม ถึง 10 ธันวาคม 2561 โดยร้านค้าที่มาร่วมกับเรา ยังสามารถเพิ่มยอดขายและกำไรแบบสมาร์ตพร้อมโปรโมทร้านฟรีผ่านสื่อครบวงจร
นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นพิเศษ จับรางวัลทุกวัน 5 รางวัลสำหรับลูกค้า 5 รางวัลสำหรับร้านค้า ตั้งแต่วันที่ 15พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2561 รวมมูลค่ากว่า 20 ล้านบาท อาทิ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และทองคำ นายฐานพล มานะวุฒิเวช กล่าวสรุป

ทั้งนี้ร้านค้าที่ สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปฯ “ทรู เถ้าแก่ 4.0-True Merchant 4.0” เพื่อใช้เป็นแอปฯ รับชำระเงินลูกค้า ได้ทั้งระบบ iOS และ แอนดรอยด์ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.trueyou.co.th/truemerchant4.0

แอนเนสซ่า ครีมกันแดดแบบไม่อุดตันผิว ยอดขายอันดับ 1

ANESSA ที่สุดแห่งนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์กันแดดแห่งปี สูตรใหม่ล่าสุด

ANESSA PERFECT UV SUNSCREEN SKINCARE เป็นมากกว่ากันแดด ทั้งปกป้อง ทั้งบำรุงปกป้องผิวจากแสงแดดเต็มที่ในทุกวันพร้อมผสานส่วนผสมของสารบำรุงมากถึง 50% ในผลิตภัณฑ์กันแดด ANESSA PERFECT UV SUNSCREEN SKINCARE

มีครีมกันแดด Anessa แบบไม่อุดตันผิวมาแนะนำ มีความเบาบางเป็นธรรมชาติ

แสงแดดตัวร้าย ทำลายผิว แสงแดดเป็นปัจจัยตัวร้ายที่ทำลายผิวสวย นับวันยิ่งแรงขึ้น และร้อนยาวนานตลอดวันมากขึ้น หากผิวเราโดนแดดนานๆ คอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนังจะถูกทำลาย  ผิวขาดความยืดหยุ่น  อันเป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอยต่าง ๆ กวนใจคุณ หรืออาจทำให้ผิวแสบร้อน ไหม้เกรียมและแห้งกร้าน หมองคล้ำได้ง่าย Anessa พัฒนาสูตรโลชั่นกันแดด Aqua Booster ขึ้นมาเป็นพิเศษ เรียกว่าเป็น Super Water-proof หรือ Water Resistance สำหรับกันน้ำและเหงื่อได้ดียิ่งขึ้น แถมยังรับมือกับภัยจากแสงแดดที่รุนแรง

 


ซึ่งการหลีกเลี่ยงแสงแดดนั่นถือเป็นเรื่องยาก ในเมื่อเราไม่อาจหลีกเลี่ยงแสงแดดได้ การป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นการใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดที่มีประสิทธิภาพ เหมาะกับสภาพผิว และพร้อมทุกกิจกรรมที่คุณจะต้องเผชิญ สามารถช่วยคงความกระจ่างใสให้ผิวของคุณได้ ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของชีวิตคนเมือง ปกป้องผิวจากแสงแดดได้เต็มที่ตลอดวัน

ANESSA (แอนเนสซ่า) แบรนด์ผลิตภัณฑ์กันแดด ที่มียอดขายอันดับ 1 ในประเทศญี่ปุ่นถึง 17 ปีซ้อน* ขอแนะนำ เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด AQUA BOOSTER EX เทคโนโลยีเอกสิทธิ์เฉพาะของ ANESSA ที่จะช่วยเพิ่มการปกป้องผิวให้ดียิ่งขึ้นเมื่อต้องเจอกับเหงื่อ หรือน้ำ พร้อมคุณสมบัติ friction resistant ช่วยให้ผลิตภัณฑ์ติดทนนานมากขึ้น จึงปกป้องผิวได้ยาวนานตลอดวัน สูตรใหม่ผสานสารบำรุงผิวมากถึง 50% (Beauty Skincare Ingredients) เป็นมากกว่ากันแดด ทั้งปกป้อง ทั้งบำรุงผิว ถูกรังสรรค์ขึ้นเป็น “ANESSA Perfect UV Sunscreen Skincare Milk SPF50+ PA++++” ผลิตภัณฑ์กันแดดเนื้อน้ำนม สำหรับผิวหน้าและผิวกาย

เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด AQUA BOOSTER EX + “friction resistance” function. ผสาน friction-resistant powder ช่วยทำให้ผลิตภัณฑ์ติดทนนานบนผิวมากขึ้น จึงช่วยปกป้องผิวสูงสุดในทุกสภาวะยาวนานตลอดวัน โดยไม่หลุดง่ายระหว่างวัน มอบสัมผัสผิวให้แลดูเรียบเนียน เนื้อ powder ผสานเป็นเนื้อเดียวและกลมกลืนไปกับผิว

ด้วยคุณสมบัติ
• Aqua Booster EX เพิ่มเกราะปกป้องผิวเมื่อเจอเหงื่อ หรือน้ำ พร้อมผสาน friction resistant ช่วยให้ผลิตภัณฑ์ติดทนนานบนผิวยิ่งขึ้นจึงปกป้องสูงสุดในทุกสภาวะยาวนานตลอดวัน

• สารบำรุงผิว 50% เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น และดูแลผิวที่โดนแสงแดดทำร้าย เช่น ความแห้งกร้าน

• Very Water Resistant หลังจากขึ้นจากสระว่ายน้ำแล้ว 80 นาที ยังคงปกป้องผิวจากรังสียูวีได้อยู่

• Sand Resistant ป้องกันทรายไม่ให้ติดผิว

• 360° Protect Technology นุ่มลื่นทาง่าย กระจายทั่วผิวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อปกป้องผิวจากรังสียูวีได้ทุกมุม

แอนเนสซ่า แบรนด์ผลิตภัณฑ์กันแดด ที่มียอดขายอันดับ 1 ในประเทศญี่ปุ่นถึง 17 ปีซ้อน* ขอแนะนำ เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด AQUA BOOSTER EX เทคโนโลยีเอกสิทธิ์เฉพาะของ ANESSA ที่จะช่วยเพิ่มการปกป้องผิวให้ดียิ่งขึ้นเมื่อต้องเจอกับเหงื่อ หรือน้ำ พร้อมคุณสมบัติ friction resistant ช่วยให้ผลิตภัณฑ์ติดทนนานมากขึ้น จึงปกป้องผิวได้ยาวนานตลอดวัน สูตรใหม่ผสานสารบำรุงผิวมากถึง 50% (Beauty Skincare Ingredients) เป็นมากกว่ากันแดด ทั้งปกป้อง ทั้งบำรุงผิว ถูกรังสรรค์ขึ้นเป็น “ANESSA Perfect UV Sunscreen Skincare Milk SPF50+ PA++++” ผลิตภัณฑ์กันแดดเนื้อน้ำนม สำหรับผิวหน้าและผิวกายด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด AQUA BOOSTER EX + “friction resistance” function.

ผสาน friction-resistant powder ช่วยทำให้ผลิตภัณฑ์ติดทนนานบนผิวมากขึ้น จึงช่วยปกป้องผิวสูงสุดในทุกสภาวะยาวนานตลอดวัน  โดยไม่หลุดง่ายระหว่างวัน มอบสัมผัสผิวให้แลดูเรียบเนียน เนื้อ powder ผสานเป็นเนื้อเดียวและกลมกลืนไปกับผิวผสานสารบำรุงผิวมากถึง 50% ฟื้นบำรุงพร้อมมอบความชุ่มชื้นให้ผิว ปกป้องผิวจากแสงแดด มอบความชุ่มชื้น พร้อมฟื้นบำรุงผิวกร้านแดด

คอลลาเจน:  ฟื้นบำรุงผิวจากการถูกแสงแดดทำร้ายซุปเปอร์ ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Super Hyaluronic Acid)  มอบความชุ่มชื่นให้ผิว, กลีเซอริน (Glycerin)สารสกัดจากพืชพรรณธรรมชาติ : ดอกกุหลาบ และอโลเวร่า

10 Day Protect สร้างปราการปกป้องผิวจากแสงแดดตลอดวัน ANESSA พร้อมพบกับ  Brand Ambassador ANESSA  คนแรกของประเทศไทย
“คุณปู ไปรยา สวนดอกไม้ ลุนด์เบิร์ก”
ในวันเสาร์ที่ 21 เมษายนนี้ ณ Central Court ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิลด์

ANESSA กันแดดยอดขายอันดับ 1 จากญี่ปุ่น 17 ปีซ้อน
วางจำหน่ายแล้ววันนี้ที่ Watsons, Boots, EVE&BOY, Tsuruha, Matsumoto Kiyoshi, Home Fresh Mart และร้านค้าชั้นนำทั่วไป

สะดุดตา ต้องใจ จันตราคีรี ชาเลต์ เชียงใหม่ ความหรูหราสไตล์ล้านนา

Chantra Khiri Chalet Chiang Mai

ชมวิวจิบชา ท่ามกลางธรรมชาติ  โอบล้อมด้วยขุนเขาที่จันตราคีรี ชาเลต์ เชียงใหม่ ห้องอาหาร และ  รีสอร์ตสไตล์ไทยล้านนาประยุกต์ หรูหรา คลาสสิก

การพักผ่อน กับเส้นทางในการดำเนินชีวิตของแต่ละคนแตกต่างกัน แม้จุดหมายปลายทางอาจจะเป็น สถานที่ หรือจังหวัดเดียวกันก็ตาม แต่ระหว่างทางนั้นเราต่างเจอสภาพแวดล้อม ปัญหาและอุปสรรค ซึ่งเป็นแบบทดสอบชีวิตที่ไม่เหมือนกัน สิ่งเหล่านี้จะหลอหลอมสร้างให้คุณเป็นคนแบบคุณ
แก้ปัญหาแบบคุณและเก่งในแบบของคุณอากาศร้อนแบบนี้ถ้าได้หลับตานึกถึงสถานที่คลายร้อน เชื่อเลยค่ะ จังหวัด เชียงใหม่ เป็นหนึ่งในคำตอบ
ของคนส่วนใหญ่  แน่นอนค่ะที่  จันตราคีรี ชาเลต์ เชียงใหม่ ความหรูหราสไตล์ล้านนา  ดูเข้าตาสุดในจุดนี้  มีจุดหมายแล้ว ถ้าไม่พูดถึงที่พักคงไม่ได้ จันตราคีรี ชาเลต์  ที่พักชื่อเก๋สุด ฮิป ผสมผสานกันระหว่าง วิศวกรรมและงานศิลปะอย่างลงตัว

จันตรา มาจากอักษร จ หมายถึง วาสนา และอักษร ต หมายถึง ทรัพย์ เมื่อรวมกันเป็นจันตราหมายถึง ทรัพย์งาม คีรี หมายถึงภูเขา จันตราคีรี จึงมีความหมายถึงทรัพย์งามบนขุนเขา โดยก่อตั้งขึ้นอันเนื่องจากโดยคุณเกรียงศักดิ์ กัลยาวัฒนเจริญ ผู้ก่อตั้งมาเที่ยวแล้วชอบที่ดินผืนนี้ เมื่อซื้อไว้แล้วก็เลยเปิดเป็นห้องอาหาร เนื่องจากชอบทำอาหารเป็นทุนเดิม

อีกหนึ่งอัตลักษณ์ของโลโก้คือประกอบไปด้วย 3 ภาษา คือ อักษรธรรมล้านนาหรือตัวเมือง ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ โดยคุณเกรียงศักดิ์เล่าว่า “ที่ใช้ตัวเมืองหรืออักษรธรรมล้านนาประกอบเข้ามาด้วย สะท้อนถึงอัตลักษณ์ท้องถิ่นเชียงใหม่อันเป็นสิ่งที่น่าหวงแหน”

ห้องพักของแต่ละหลังมีสไตล์ที่แตกต่างกันออกไป บ้านพักส่วนตัวหรู 5 หลัง จันศรี, จันแก้ว, ยวงจัน, ร้อยจัน และจันเป็ง สร้างขึ้นด้วยไม้สักและไม้เนื้อแข็งที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก “หลองข้าวของชาวล้านนา” หลองข้าวเป็นของคู่กับบ้านเรือนของคนล้านนา ใช้สำหรับเก็บข้าวเปลือกไว้กินได้ตลอดปีที่เหลือจึงแบ่งขาย “หลองข้าว” สะท้อนถึงความมั่นคงของครัวเรือน ความอุดมสมบูรณ์ของชุมชน หากชุมชนหรือครัวเรือนใด ประกอบด้วยหลองข้าวขนาดใหญ่แสดงถึงสถานะทางเศรษฐกิจ การถือครองที่ดินเพื่อการเพาะปลูก ความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรเพื่อการเกษตรและทักษะในการผลิตของเกษตรกร หลองข้าวมีลักษณะเฉพาะเป็นอาคารไม้ใต้ถุนสูง เราจึงเอาหลองข้าวมาเป็นแบบของบ้านพักหรูสุดคลาสสิก ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์กลิ่นอายอารยธรรมล้านนา กระเบื้องเคลือบและโถเซรามิกจากแหล่งเลื่องชื่อของประเทศไทย รวมไปถึงภาพวาดสีน้ำจิตรกรรมไทยล้านนา โคมไฟระย้า โดยในแต่ละหลังจะมีช้างไม้แกะสลักบอกหมายเลขของหลองข้าวซึ่งชาวล้านนามีความเชื่อว่าช้างเป็นสัตว์มงคลอีกด้วย บรรยากาศในจันตราคีรี ชาเลต์ เชียงใหม่ ยังรายล้อมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่นานา เช่น ต้นลิ้นจี่ซึ่งเป็นผลไม้เลื่องชื่อของเมืองเหนือ ดอกไม้เมืองเหนือ เช่น อโศกแดงและเหลือง ดอกข่า กล้วยไม้ ดอกพุด จำปี มะลิและอัญชัน น้ำตกและปลาคาร์ป รีสอร์ตตั้ง อยู่บนพื้นที่ 6 ไร่พร้อมวิวภูเขาสวยอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย

จันศรี Chan Sri Villa
บ้านพักสไตล์หลองข้าว 2 ชั้นจำลองชีวิตความเป็นอยู่ของชาวล้านนาในอดีต ขนาด 100 ตารางเมตร ชั้นล่างประกอบด้วยห้องนั่งเล่นดูโอ่โถง ห้องน้ำและบาร์ ชั้นบนเป็นห้องนอนแบบเตียงเดี่ยว สไตล์มุ้ง 4 เสาเพดานสูงประยุกต์ให้เข้ากับองค์ประกอบโดยรวมของหลองข้าว มีห้องน้ำและระเบียงชมวิวแมกไม้ เขียวขจี ราคา 5,900 บาท/คืน (รวมอาหารเช้า)

จันแก้ว Chan Kaew Villa
บ้านพักสไตล์หลองข้าว 2 ชั้นจำลองชีวิตความเป็นอยู่ของชาวล้านนาในอดีต ขนาด 98 ตารางเมตร ชั้นล่างประกอบด้วยห้องนั่งเล่น ห้องน้ำและบาร์ ชั้นบนเป็นห้องนอนแบบเตียงคู่ สไตล์มุ้ง 4 เสาเพดานสูงประยุกต์ให้เข้ากับองค์ประกอบโดยรวมของหลองข้าว มีห้องน้ำและระเบียงชมวิวแมกไม้ เขียวขจี ราคา 5,900 บาท/คืน (รวมอาหารเช้า)

ยวงจัน Yuang Chan Villa
บ้านพักสไตล์หลองข้าว 2 ชั้นจำลองชีวิตความเป็นอยู่ของชาวล้านนาในอดีต ขนาด 180 ตารางเมตร ชั้นล่างประกอบด้วยห้องนั่งเล่น ห้องน้ำและบาร์ ชั้นบนเป็นห้องนอนแบบเตียงเดี่ยว 2 ห้องนอน สไตล์มุ้ง 4 เสาเพดานสูงประยุกต์ให้เข้ากับองค์ประกอบโดยรวมของหลองข้าว มีห้องน้ำและระเบียงชมวิวพานอรามาแห่งขุนเขาและแมกไม้ เหมาะสำหรับการเข้าพักเป็นหมู่คณะเพื่อนหรือครอบครัวเป็นต้น ราคา 10,100 บาท/คืน (รวมอาหารเช้า)

ร้อยจัน Roi Chan Villa
บ้านพักสไตล์หลองข้าว 2 ชั้นจำลองชีวิตความเป็นอยู่ของชาวล้านนาในอดีต ขนาด 180 ตารางเมตร ชั้นล่างประกอบด้วยห้องนั่งเล่น ห้องน้ำและบาร์ ชั้นบนเป็นห้องนอนแบบเตียงเดี่ยว 1 ห้องนอนและแบบเตียงคู่ 1 ห้องนอน สไตล์มุ้ง 4 เสา เพดานสูงประยุกต์ให้เข้ากับองค์ประกอบโดยรวมของหลองข้าว มีห้องน้ำและระเบียงชมวิวพานอรามาแห่งขุนเขาและแมกไม้ เหมาะสำหรับการเข้าพักเป็นหมู่คณะ เพื่อนหรือครอบครัวเป็นต้น พร้อมลานพื้นที่ส่วนกลางด้านนอก เตาผิงไว้บริการในฤดูหนาว เหมาะสำหรับสังสรรค์ยามค่ำคืนหรือโอกาสพิเศษสำหรับเพื่อนหรือครอบครัวเป็นต้น ราคา 10,100 บาท/คืน (รวมอาหารเช้า)

จันเป็ง Chan Peng Villa
บ้านพักสไตล์หลองข้าว 2 ชั้นจำลองชีวิตความเป็นอยู่ของชาวล้านนาในอดีต ขนาด 274 ตารางเมตร ชั้นล่างประกอบด้วยห้องนั่งเล่น ห้องน้ำและบาร์ ชั้นบนเป็นห้องนอนแบบเตียงเดี่ยว 1 ห้องนอนและแบบเตียงคู่ 1 ห้องนอน สไตล์มุ้ง 4 เสา เพดานสูงประยุกต์ให้เข้ากับองค์ประกอบโดยรวมของหลองข้าว มีห้องน้ำและระเบียงชมวิวพานอรามาแห่งขุนเขาและแมกไม้ พร้อมลานพื้นที่ส่วนกลางด้านนอก พร้อมเตาผิงไว้บริการในฤดูหนาว เหมาะสำหรับสังสรรค์ยามค่ำคืนหรือโอกาสพิเศษสำหรับหมู่คณะเพื่อนหรือครอบครัวเป็นต้น ราคา 14,850 บาท/คืน (รวมอาหารเช้า)

คุณเกรียงศักดิ์ กัลยาวัฒนเจริญ ตั้งใจออกแบบโลโก้ของรีสอร์ต

คุณเกรียงศักดิ์ กัลยาวัฒนเจริญ นักเดินทางและนักธุรกิจ ผู้รักการปลูกต้นไม้และเลี้ยงสัตว์ เกิดที่จังหวัดสระบุรี จบการศึกษาระดับอุดมศึกษาจากโรงเรียน ภ.ป.ร.ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ระดับปริญญาตรีจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ  และระดับปริญญาโท  สาขาการจัดการจากมหาวิทยาลัยศรีปทุม แรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมาจากความสุขหลายรูปแบบในชีวิตและมีความฝันว่าหากสักวันหนึ่งความสุขในรูปแบบที่ชอบจะส่งผ่าน ทำให้คนอื่นรอบกายมีความสุขด้วยบ้างคุณเกรียงศักดิ์ก็จะทำ ความสุขในการเดินทางท่องเที่ยวและปรารถนาความสุขแบบเรียบง่ายตามทางผ่านที่ไป ครั้งหนึ่งเคยเดินทางมาจังหวัดเชียงใหม่ มีโอกาสได้คุยกับเจ้าของที่ดินสวนลิ้นจี่แห่งนี้ เลยคิดอยากลงหลักปักฐานที่นี่ อาจมีร้านอาหารเล็ก ๆ เพราะเป็นคนชอบทำอาหาร หลัง ๆ พอเปิดห้องอาหารเสร็จเพื่อน ๆ ยุให้เปิดเป็นบ้านพักสไตล์ล้านนาบ้าง ทนแรงยุไม่ไหวจึงเปิดจันตราคีรี ชาเลต์ เชียงใหม่ ตามสไตล์ที่ชื่นชอบเป็นส่วนตัว และอยากท้าทายความสามารถของตัวเองเช่นกัน

จันตราคีรี ชาเลต์ เชียงใหม่  เกิดจาก คุณเกรียงศักดิ์ กัลยาวัฒนเจริญ ตั้งใจออกแบบโลโก้ของรีสอร์ตเองในวันหนึ่งขณะนั่งคุมงานก่อสร้างโดยวาดขึ้นจากวิวภูเขาตรงหน้าหากยืนบริเวณสระว่ายน้ำในปัจจุบันแล้วหันหน้าออกไปทางภูเขา ซึ่งวิวภูเขาดังกล่าวเป็นวิวภูเขาสวยทางด้านหลังของอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุยนั่นเอง ซึ่งถือว่าถ้าหากมาที่จันตราคีรีแล้วจุดนี้ถือเป็นหนึ่งไฮไลท์ที่คุณลูกค้าไม่ควรพลาดการชมวิวมุมสวยๆ พักผ่อนกับบรรยากาศที่สวยและสุดโรแมนติก

จันตราคีรี ชาเลต์ เชียงใหม่ รีสอร์ตหรูโอบล้อมด้วยทิวเขาที่งดงามของดอยสุเทพ-ปุย ประกอบด้วยบ้านพัก/ห้องพัก 2 โซน ได้แก่ บ้านพักสไตล์หลองข้าวล้านนา 5 หลังซึ่งจำลองมาจากหลองข้าวหรือยุ้งข้าวของชาวเหนือประยุกต์ให้มีความทันสมัยแฝงไปด้วยกลิ่นอายและเอกลักษณ์ภูมิปัญญาการปลูกเรือนอยู่อาศัยของชาวล้านนา และในส่วนของห้องพักแบบตะวันตก จำนวน 14 ห้องภายในอาคารร่วมสมัย 3 ชั้น ตกแต่งอย่างเป็นเอกลักษณ์ 5 ดีไซน์ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรูปแบบนีโอ โคโลเนียลผสมผสานจุดเด่นของความเป็นเชียงใหม่

ห้องอาหารจันตราคีรี ชาเลต์ เชียงใหม่
ห้องอาหารไทยรสจัดจ้านมีเมนูหลากหลายทั้งอาหารไทยภาคกลางและอาหารเหนือสูตรเฉพาะของจันตราคีรี ใช้วัตถุดิบคุณภาพจากท้องถิ่นและสวนผักออร์แกนิคของรีสอร์ต ให้บริการทั้งโซนด้านในและด้านนอกขนาดกว่า 50 ที่นั่ง ตกแต่งแบบล้านนาประยุกต์  ผสมผสานเข้ากันอย่างลงตัวระหว่างเรือนไม้สักเพดานสูงให้ความรู้สึกโปร่งสบาย โคมไฟระย้าสวยหรู ประตูไม้สักอายุหลายร้อยปีสไตล์โปรตุเกส กระเป๋าเดินทางเก๋สไตล์โคโลเนียล กวางไม้แกะสลักสีแดงที่บาร์ รวมไปถึงโซฟาและเก้าอี้บุผ้าลายสีสดและกระจกบานใหญ่ที่ทำให้ลูกค้าทุกท่านได้ชมวิวทิวทัศน์ภายนอกได้แบบพาโนรามาผ่านทางสระว่ายน้ำไร้ขอบวิวภูเขาหลักล้านด้านหน้า

มาต่อกันที่เมนู  ออร์เดิร์ฟเมือง หมี่ผัดผักกระเฉด น้ำพริกกะปิ มัสมั่นเนื้อ แกงส้มชะอมกุ้ง ต้มข่าไก่ แกงเขียวหวาน น้ำพริกกะปิปลาทู ออสเตรเลียริบอายจิ้มแจ่ว ซี่โครงหมูย่างบาร์บีคิว เป็นต้น ในส่วนของเครื่องดื่มก็มีให้เลือกนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นไวน์ แชมเปญ ค็อกเทล หรือชา กาแฟหอมกรุ่น อร่อยถูกใจมาก

พิกัดอยู่ไม่ไกล ห้องอาหารจันตราคีรี
เปิดให้บริการทุกวัน  ตั้งแต่เวลา  7.00 น. – 22.00  น.

Home

 

UBM เตรียมเปิดตลาดงาน “ASEANbeauty 2018”

ธุรกิจความงามไทยโต ต่อยอดสู่ตลาดโลก

ASEANbeauty  2018 เป็นเวทีการเจรจาธุรกิจระดับนานาชาติ ผู้ประกอบการไทย สามารถยกระดับความรู้ ทั้งด้านวิชาการ และ การตลาด เช่น
การสร้างแบรนด์สำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ กฎระเบียบและขั้นตอนการส่งออกสินค้าด้านความงามและสุขภาพไปยังอาเซียน รวมถึงการทำการตลาดออนไลน์ การค้าปลีกสำหรับอุตสาหกรรมความงามผ่านเวทีสัมมนาภายในงาน ทั้งนี้ ในส่วนของเวทีการแสดงสาธิตสินค้านำเสนอนวัตกรรม
และสินค้าใหม่ล่าสุด  จากแบรนด์ชั้นนำ และ กิจกรรมเวิร์คช็อปเกี่ยวกับความสวยความงาม เรียกได้ว่ามางานเดียวครบครันทุกเรื่องความงามและสุขภาพ

บริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด เตรียมจัดงานจัดแสดงสินค้าความงาม และสุขภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาค “ASEANbeauty 2018” ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-5 พฤษภาคม 2561 ณ ไบเทค บางนา งานนี้จะเป็นเวทีให้ผู้ประกอบการไทยในภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ได้แสดงศักยภาพให้เป็นที่ประจักษ์ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ด้านความงามและสุขภาพ พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจความงามและเครื่องสำอางในยุค 4.0 แย่งชิงตลาดความงามอาเซียนที่มูลค่า 5 แสนล้านบาท โดยประเทศไทยยังครองแชมป์ส่งออกอันดับ 1 ที่มูลค่า 3 แสนล้านบาท

งานจัดแสดงสินค้าความงาม และสุขภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ASEANbeauty 2018
Mr M. Gandhi, group managing director (ASEAN Business), UBM Asia (Thailand) Co, Ltd

มร.เอ็ม กันดิ กรรมการผู้จัดการกลุ่ม (ธุรกิจอาเซียน) บริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) จํากัด และ รองประธาน บริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ในฐานะผู้นำตลาดในด้านการจัดงานจัดแสดงสินค้าความงาม และสุขภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาค ได้จัดงาน “ASEANbeauty 2018” โดยจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-5 พฤษภาคม 2561 ณ ไบเทค บางนา ถือเป็นโอกาสสำคัญในการต่อยอดธุรกิจกับผู้ประกอบการความงามและสุขภาพของไทย ด้วยผู้ซื้อที่มีคุณภาพจากทั่วทุกมุมโลก

คุณเกศมณี เลิศกิจจา นายกสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย, ประธานกลุ่มเครื่องสำอางในสภาอุตสาหกรรม และรองนายกสมาคมเครื่องสำอางแห่งอาเซียน

ร่วมอัพเดทเทรนด์การตลาดจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมด้านความงามและสุขภาพ และยังพบโอกาสใหม่ๆ ในการทำธุรกิจ รวมไปถึงร่วมพูดคุยกับผู้ประกอบการคุณภาพจากทั่วทุกมุมโลก พร้อมพบกับบูธผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพชั้นนำจากหลายประเทศ และนอกจากนี้เรายังมีโครงการจับคู่เจรจาธุรกิจการค้าสนับสนุนผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs ให้เติบโตและต่อยอดสู่ตลาดต่างประเทศ พร้อมร่วมทำกิจกรรมเวิร์คช็อป และเข้าฟังสัมมนาเพื่อรับความรู้ตลอดงาน

ในส่วนของภาพรวมตลาดความงามของอาเซียน ประเทศไทยถือได้ว่ามีศักยภาพ และเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง โดยในปีที่ผ่านมา 2560 ตลาดรวมเครื่องสำอางส่งออกมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 2.5 แสนล้านบาท และตลาดมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง 4.5% ในมูลค่าตลาดความงามของอาเซียนอยู่ที่ 5 แสนล้านบาท ขณะที่ตลาดส่งออกคู่แข่งหลักคือ ญี่ปุ่น 21% และอินโดนีเซีย 9% ฟิลิปปินส์และมาเลเซีย 8% เท่ากัน ออสเตรเลีย 6% กัมพูชา 5% จีน อังกฤษและเมียนมาร์ 4% เท่ากัน และประเทศสหรัฐอเมริกา และยุโรป สัดส่วนรวมกันที่ 26% ซึ่งประเมินว่า
ในงาน ASEANbeauty 2018 นี้ มีเงินเดินสะพัดมากกว่า 1,000 ล้านบาท

จากตัวเลขการส่งออกจากประเทศไทย (สถิติ ณ วันที่ 28 ก.พ. 2018 โดย DITP และTCMA) ประมาณ 2,466 ล้านเหรียญสหรัฐ / 88,684 ล้านบาท (35.0949) และสัดส่วนการส่งออกเครื่องสำอาง คือ ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม 30.49%, ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว 15.78%, และอื่นๆ 53.73% โดยมีการซื้อขายกันในประเทศประมาณ 4,700 ล้านเหรียญสหรัฐ (2017) / 168,000 ล้านบาท และมูลค่าตลาดรวม (สถิติปี 2560) คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 3 แสนล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโต 8 % ในปี 2560 โดยแบ่งเป็นส่งออก 1.21 แสนล้าน และในประเทศ 1.81 แสนล้านบาท

ทางด้าน นางสาวอนุชนา วิชเวช ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการ บริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเสริมทางด้านการจัดงานว่า งาน “ASEANbeauty 2018”

นางสาวอนุชนา วิชเวช ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการ บริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด

เนื่องจากปีที่ผ่านมาประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง และในปีนี้มีผู้ประกอบการชั้นนำทั้งในประเทศ และต่างประเทศให้ความสนใจที่จะเข้าร่วมงานออกงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งในปีนี้เราได้มีการขยายพื้นที่การจัดงานเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของผู้ประกอบการ ทุกท่านที่เข้าร่วมงานจะได้พบกับผู้แสดงสินค้าความงามและสุขภาพจากทั่วทุกมุมโลกกว่า 350 บูธ และผู้ซื้อที่มีคุณภาพจาก 50 ประเทศ โดยแบ่งเป็น 50 % ผู้แสดงสินค้าจากต่างประเทศ 20 ประเทศทั่วโลก อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลี จีน ไต้หวัน อินเดีย สิงคโปร์ เบลเยี่ยม และ ฮังการี ซึ่งในครั้งนี้ บริษัทฯ ในฐานะผู้จัดงาน ต้องการตอกย้ำจุดยืนสำคัญของงาน ASEANbeauty 2018 ตั้งเป้าที่จะให้เป็นศูนย์กลางธุรกิจความงามและสุขภาพในระดับอาเซียน ทำให้ผู้ประกอบการไทยได้พบเจอคู่ค้าจากประเทศต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศได้และยกระดับผู้ประกอบการไทย  โดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs  ให้เติบโตสู่ระดับโลก

งาน “ASEANbeauty 2018” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3-5 พฤษภาคม 2561
ณ.ไบเทค บางนา ผู้สนใจสอบถามข้อมูล
เพิ่มเติมและลงทะเบียนเข้าร่วมงานได้ที่
www.aseanbeautyshow.com หรือ โทร. 02 036 0500

 

RAIL Asia Expo 2018

RAIL Asia Expo 2018 คึกคัก
ตอบโจทย์หน่วยงานภาครัฐ เอกชน

การประชุมวิชาการและแสดงนิทรรศการ อุตสาหกรรมระบบขนส่งทางรางไทยครั้งที่ 4 และ RAIL Asia Expo 2018 ปี 2561 นับเป็นปีสำคัญที่โครงการระบบรางในประเทศไทยด้วยสัญญาการประมูลและจัดซื้อจำนวนมากที่กำลังเกิดขึ้น บริษัท เอเชีย เอ็กซิบิทชั่น เซอร์วิสเซส จำกัด ผู้จัดงานแสดงนิทรรศการเทคโนโลยีรถไฟฟ้า และรถไฟใต้ดินได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ กระทรวงคมนาคม สนข. และภาคเอกชน สมาคมวิศวกรรมระบบขนส่งทางรางไทย ผนึกกำลัง RISE Symposium

จัดงานวันที่ 28-29  มีนาคม  2561  งาน The 4th Thai Rail Industry Symposium and Exhibition (RISE) and RAIL Asia Expo 2018
(การประชุมวิชาการและแสดงนิทรรศการอุตสาหกรรมระบบขนส่งทางรางไทยครั้งที่ 4 และ RAIL Asia Expo 2018) ขึ้น ที่อาคารสถานีรถไฟฟ้า แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ มักกะสัน ลานฮอลล์ เอ็กโปร ชั้น 2 ในงานมีการการประชุมสัมมนาวิชาการ จัดใต้แนวคิด “อนาคตระบบรางของอาเซียน” และ มีหัวข้อที่อยู่ในกระแสความสนใจ พิเศษมากมาย ด้านการแสดงเทคโนโลยีรถไฟฟ้า มีบริษัทต่างชาติทั่วโลก ร่วมแสดงเทคโนโลยีกว่า120 บริษัท

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เผยว่า ภายหลังเป็นประธานเปิดงาน การประชุมวิชาการและแสดงนิทรรศการ อุตสาหกรรมระบบขนส่งทางรางไทย ครั้งที่ 4 และ RAIL Asia Expo 2018 ที่มีขึ้นวันที่ 28-29 มีนาคม 2561 ณ. ฮอลล์แสดงสินค้า สถานีรถไฟฟ้า แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ มักกะสัน ว่า งานนี้มีความสำคัญ เป็นแหล่งข้อมูลความรู้ แหล่งรวมบริษัทผลิตสินค้าและเทคโนโลยีระบบรางรถไฟฟ้าจากทั่วโลก ถือเป็นจุดดูงานสำหรับประเทศเราที่เร่งพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานตามนโยบายรัฐบาล โดยเฉพาะระบบราง

ตามแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระยะเร่งด่วน 8 ปี ของกระทรวงคมนาคม ที่จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2558–2565 นั้น ลงทุนให้ระบบรางจำนวน 2.2 ล้านล้านบาท เร่งจัดทำแผนการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบราง ลดภาระการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ พัฒนาบุคลากร ด้านเทคนิควิศวกรรมระบบรางไปพร้อมๆ กัน เพราะมีการคาดการณ์ว่าในอีก 4 ปีข้างหน้า (2561-2564) ไทยจะมีความต้องการบุคลากรด้านระบบราง มากถึง 3 หมื่นคน ตลอดจนเร่งส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนาเพื่อต่อยอดอุตสาหกรรมระบบรางของไทยด้วยจากการสำรวจเบื้องต้นพบว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพในการผลิตชิ้นส่วนระบบรางได้บางชิ้นส่วน ส่วนใหญ่เป็นประเภทที่ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงนัก เช่น ไม้หมอนและชิ้นส่วนอุปกรณ์ตกแต่งภายในตัวรถ ส่วนการผลิตตัวเครื่องยนต์แคร่ ขบวนรถโดยสาร และราง ผู้ประกอบการไทยยังไม่สามารถผลิตได้เอง เพราะไทยยังไม่มีโรงเหล็กต้นน้ำ และเป็นระบบที่ต้องใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย

ซึ่งขณะนี้ กระทรวงคมนาคมได้ทำความตกลงกับประเทศเจ้าของเทคโนโลยีระบบรางชั้นนำ ระบบรางของโลกหลายประเทศ เพื่อจัดทำโปรแกรมร่วมกัน ด้านการถ่ายทอดความรู้เทคโนโลยี และการฝึกอบรมพัฒนาระบบราง อาทิ ประเทศจีน ในโครงการรถไฟความเร็วสูง เส้นทาง กทม.- หนองคาย ญี่ปุ่น ในโครงการรถไฟความเร็วสูง เส้นทาง กทม.- เชียงใหม่ รวมถึงเกาหลีและเยอรมัน เป็นต้น



การเซ็นเอ็มโอยู 3 กระทรวงหนุนพัฒนาวิจัย-บุคลากรรางในปี 2560 ที่ผ่านมา การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลง ความร่วมมือทางวิชาการด้านการส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาระบบราง เพื่อนำงานวิจัยพัฒนาระบบรางมาใช้ประโยชน์ด้านการขนส่ง การเดินรถยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมด้านชิ้นส่วน และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับระบบรางของประเทศ รวมทั้งมอบหมายให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ในฐานะผู้ใช้ชิ้นส่วนรายใหญ่ ไปจัดทำแผนความต้องการใช้ชิ้นส่วนระบบรางในระยะยาวว่ามีความต้องการใช้อุปกรณ์ หรือชิ้นส่วนชนิดใดบ้าง ปริมาณเท่าไหร่ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการในประเทศ ให้กล้าตัดสินใจลงทุนในอุตสาหกรรมระบบรางรวงทั้งประสานความร่วมมือกับกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อสำรวจข้อมูล ว่าชิ้นส่วนชนิดใดในระบบรางที่ผู้ประกอบการไทยสามารถผลิตได้เองภายในประเทศ เพื่อเร่งรัดจัดทำแผน ส่งเสริมการลงทุนด้วยการให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีเป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้มีการจัดตั้งโรงงานผลิตและประกอบขบวนรถไฟฟ้าและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ที่เกี่ยวกับชิ้นส่วนภายในประเทศ และยังมีความร่วมมือกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในการพัฒนาบุคลากรด้านวิศวกร ช่างเทคนิค พนักงานจัดการระบบราง โดยขณะนี้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ร่วมกับผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม และมหาวิทยาลัยกว่า 10 แห่ง เพื่อวางหลักสูตรการเรียนการสอบ เพื่อเตรียมบุคลากรที่จะมารองรับระบบราง ทั้งวิศวกร ช่างเทคนิค ผู้ที่จะประกอบการเดินรถ และประกอบการซ่อมบำรุงรถไฟในอนาคต ในอนาคตอาจจะเสนอให้รัฐบาลจัดหาทุนการวิจัยระบบรางด้วย

นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร เปิดเผยว่า การพัฒนาระบบรางจะช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ ถือเป็น 1 ใน 10ยุทธศาสตร์หลักที่รัฐบาลต้องการเร่งรัดให้ดำเนินการ ทั้งนี้ สนข. ได้จัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทยระยะ 20 ปี ตั้งเป้าลดต้นทุนโลจิสติกส์ เพิ่มสัดส่วนขนส่งทางรางได้กำหนดวงเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 7,822,581 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งในเมือง ระหว่างเมือง และระหว่างประเทศ ให้ครอบคลุมทั้งภูมิภาคของประเทศ ตลอดจนการเชื่อมโยงไประหว่างประเทศให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สะดวกรวดเร็ว ปลอดภัย และได้มาตรฐาน  โดยตั้งเป้าหมายที่จะปรับลดต้นทุนโลจิสติกส์ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) จากปัจจุบันที่มีสัดส่วน 14.2% ให้เหลือ11.9% ภายในปี 2579
และปรับลดต้นทุนค่าขนส่งต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ จาก 7.4% ให้เหลือ 6.7% ภายในปี 2579 รวมทั้งเร่งรัดผลักดันสัดส่วนปริมาณการขนส่งสินค้าทางรางให้เพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน1.4% ให้เป็น 10% ภายในปี 2579 เนื่องจากเป็นระบบที่มีต้นทุนการขนส่งที่ถูกเพียง 0.93 บาท/ตัน/กม.
หากเทียบกับการขนส่งทางถนนซึ่งอยู่ที่ 1.72 บาท/ตัน/กม.

นายดิสพล ผดุงกุล นายกสมาคมวิศวกรรมระบบขนส่งทางรางไทย เปิดเผยถึง การจัดงาน การประชุมวิชาการและแสดงนิทรรศการ อุตสาหกรรมระบบขนส่งทางรางไทย ครั้งที่ 4 และ RAIL Asia Expo 2018 ( The 4th Thai Rail Industry Symposium and Exhibition (RISE) and RAIL Asia Expo 2018) หรือ The 4th RISE Symposium & RAIL Asia Expo 2018 วันที่ 28-29 มีนาคม นี้นับเป็นการเติบโตของงานแสดงสินค้าด้านระบบราง ซึ่งงาน RAIL Asia Expo 2018 จัดโดยบริษัท เอเชีย เอ็กซิบิทชั่น เซอร์วิสเซส จำกัด ที่มีการจัดมาอย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่หกแล้ว

ในปีนี้ งาน RAIL Asia Expo 2018 มีการผนึกกำลังกับ RISE การประชุมสัมมนาระบบรางภายใต้ การสนับสนุนจากภาครัฐ ร่วมกันจัดงานสินค้าระบบรางระดับชั้นนำของภูมิภาคเอเชีย และการประชุมสัมมนาด้านอุตสาหกรรมระบบรางขั้นสูง “ งานนี้ถือเป็นการพัฒนาระบบรางครั้งสำคัญยิ่ง เนื่องด้วยจะมีหน่วยงานภาครัฐ ผู้ให้บริการเดินรถ ผู้ผลิตเทคโนโลยีระบบ อุปกรณ์ มาร่วมแสดงผลงานอย่างเต็มรูปแบบไปพร้อมๆกัน”

การพัฒนางานวิจัยระบบรางของไทยนั้น ได้มีการสนับสนุนงบประมาณจากเครือข่ายองค์กรบริหารงานวิจัยแห่งชาติ (คอบช.) โดย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งได้กำหนดให้งานวิจัยระบบรางเป็นหนึ่งในแผนงานวิจัยมุ่งเป้าของประเทศ โดยมอบหมายให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ดำเนินการบริหารแผนงานวิจัย เพื่อให้มีผลงานวิจัยที่ใช้ประโยชน์ได้จริงในด้านการคมนาคมระบบรางและตรงตามความต้องการของประเทศ พร้อมทั้งส่งมอบผลงานวิจัยสู่หน่วยงานผู้รับประโยชน์ โดยในปีนี้ เป็นการส่งมอบผลงานวิจัย เรื่อง “การพัฒนารถยนต์รางขนาดเบาวิ่งบนรางรถไฟมิเตอร์เกจหรือถนน” โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิโรฏฐ์ สุคนธนกานต์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตขอนแก่น โดยส่งมอบผลงานให้ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) -นายดิสพล กล่าว

งาน The 4th Thai Rail Industry Symposium and Exhibition (RISE) and RAIL Asia Expo 2018

ด้านนายเดวิด เอ็ทคิ่น กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชีย เอ็กซิบิทชั่น เซอร์วิสเซส จำกัด เปิดเผยว่า งาน The 4th Thai Rail Industry Symposium and Exhibition (RISE) and RAIL Asia Expo 2018

ในปีนี้เป็นการผนึกงาน RAIL Asia Expo ครั้งที่ 6 และงาน RISE การประชุมวิชาการและแสดงนิทรรศการ อุตสาหกรรมระบบขนส่งทางรางไทย ครั้งที่ 4 สองงานใหญ่ เข้าไว้ด้วยกัน เป็นงานแสดงนิทรรศการเทคโนโลยีรถไฟ และรถไฟใต้ดิน ใหญ่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะรวบรวมผู้ผลิตเทคโนโลยีด้านรถไฟ รถไฟใต้ดิน ผู้รับเหมา ระบบราง ผู้ให้บริการระบบรถไฟ ระบบไอที การสื่อสาร อาณัติสัญญาณ  อุปกรณ์ในสถานีระบบความปลอดภัย ฯลฯ  ผู้ผลิตต่างประเทศ ชั้นนำทั้งจากยุโรป อเมริกา, เอเชีย มาจัดแสดงในงาน โดยมีบริษัทที่เข้าร่วมงานและตัวแทนจำหน่ายถึง 120 บริษัท จากทั่วโลก มีผู้เกี่ยวข้องผู้ผลิต ผู้ให้บริการเดินรถ ที่ปรึกษา ผู้รับเหมา นักลงทุน วิศวกร กว่า 1,000ราย คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานถึง 3,000 คน

ในปีนี้ได้รับความสนใจจากบริษัทยักษ์ใหญ่ วงการขนส่งระบบรางจากทั่วโลก อาทิ บอมบาร์เดีย, ชไนเดอร์,ซีเมนส์,ซีอาร์เอสซี,และวอร์สทอนไพน์ มีพาวิเลียนจาก สหราชอาณาจักร จีน และเกาหลี จะนำเทคโนโลยีล่าสุด นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมนี้มานำแสดงรองรับเมกะ
โปรเจกต์ระบบรางของไทย

สนใจรายละเอียดต่อผู้จัดงานได้ที่
Email : rail@aesexhibitions.com

สอบถามงานแสดงสินค้า RAIL Asia Expo
บริษัท เอเชีย เอ็กซิบิทชั่น เซอร์วิสเซส จำกัด
โทร.+66 (0) 2207 2412
Facebook : RAIL.Asia on facebook

สอบถามงานประชุม
คุณเชาวรัตน์ ศิรินนท์ธนเวช  E-mail: treainfo@trea.or.th
โทร.+66 9 7001 4603

ประสานงานประชาสัมพันธ์
นิตยา โสมทนงค์  Email newmkt2010creation@gmail.com
โทร. 083 244 4613

เปิดตำนานเชฟชื่อดัง เม็กซิกาโน่

เปิดตัว “Carlos’s Creation Menu”
พร้อมเสิร์ฟเมนูสุดพิเศษ เป็นประจำทุกเดือน
ที่ทุกท่านต้องห้ามพลาด!

เปิดตำนานอาหารแม็กซิกัน รสต้นตำรับ พร้อมเทคนิคการปรุงอาหารแบบ
โมเดิร์สุดอลังการ “เม็กซิกาโน่” (Mexicano) ห้องอาหารเม็กซิกันที่มีชื่อเสียงระดับทอล์กออฟเดอะทาวน์​โดยโรงแรมแรมแบรนดท์ กรุงเทพฯ ​เพิ่มความจัดจ้านบทใหม่ให้กับอาหารเม็กซิกันแท้

เปิดตัว  Carlos’s Creation Menu  เมนูสุดว้าว!  ที่จะรังสรรค์ขึ้นมาใหม่ให้สายชิมได้ลิ้มรสกันเป็นประจำทุกเดือน แบบไม่ซ้ำ โดย “เชฟคาร์ลอส  บราโว” เม็กซิกันเชฟชื่อดังในตำนาน พร้อมสาดสีสันความสนุกสนานให้มากกว่าที่เคย ด้วยความบันเทิงแปลกใหม่ ซัลซ่าแดนซ์  (Salsa Dance)  ที่จะทำให้รู้สึกอยากลุกขึ้นเต้นตาม ซึ่ง “เม็กซิกาโน่” เติมเต็มช่วงเวลาที่ดีที่สุดให้กับผู้มาเยือนได้รับประทานอาหารอร่อย รสชาติดี พร้อมได้พักผ่อนแฮงค์เอ้าท์กับเพื่อน ภายใต้กลิ่นอายของบรรยากาศงานรื่นเริงที่มีแต่ความสนุกสนาน

เชฟคาร์ลอส บราโว เม็กซิกันเชฟชื่อดังในตำนาน

“เชฟคาร์ลอส  บราโว” เม็กซิกันเชฟชื่อดังในตำนาน

เม็กซิกาโน่ (Mexicano) ห้องอาหารเม็กซิกัน ที่มีชื่อเสียงระดับทอล์กออฟเดอะทาวน์ ​เป็นห้องอาหารยอดนิยม ที่มีบริการที่เป็นกันเอง สัมผัสกับอาหารแม็กซิกันรสต้นตำรับแบบพรีเมี่ยมที่ทั้งอร่อยกว่าและหลากหลายกว่าอาหารแม็กซิกันแบบทั่วๆ ไป ​เพิ่มความจัดจ้านบทใหม่ให้กับอาหารเม็กซิกันแท้

“Carlos’s Creation Menu” จะถูกรังสรรค์ขึ้นโดย “เชฟคาร์ลอส บราโว” มาสเตอร์เชฟแห่งห้องอาหารเม็กซิกาโน่ ผู้มีสัญชาติเม็กซิกันแท้ ๆ และคร่ำหวอดในวงการอาหารมาอย่างยาวนาน โดยจะถ่ายทอดฝีมือของเขาสู่เมนูพิเศษในแต่ละเดือนแบบไม่ซ้ำกัน และจัดจ้านกว่าเดิม ตั้งแต่ขั้นตอนการเฟ้นหาวัตถุดิบที่แปลกใหม่และมีคุณภาพมากที่สุด วิธีปรุงที่พิถีพิถัน และวิธีการนำเสนออาหารแต่ละจานที่ครีเอทมากยิ่งขึ้นจนต้องอยากมาเช็คอิน

นอกจากนั้น Mexicano Restaurante  มีเครื่องดื่มให้เลือกนานาชนิด
ดนตรีสดจากวงแม็กซิกันด้วยแถมด้วยวงดนตรีแม็กซิกันที่มาร้องเพลงให้
ฟังกันแบบสดๆ สนุกสุดเหวี่ยงไปกับวงดนตรีละตินของเราที่จะทำให้คุณเพลิดเพลินจนลืมเวลา วงดนตรีสดสไตล์ละติน แบบฟูลแบนด์ แห่งแรกและแห่งเดียวในกรุงเทพฯ ที่จะมาโชว์พลังเสียงอันเร้าใจเต็มเปี่ยมด้วยพลังแห่งความบันเทิง   และโชว์สุดพิเศษในเทศกาลสำคัญต่าง ๆ อย่าง ซัลซ่าแดนซ์ (Salsa Dance) ที่จะทำให้รู้สึกอยากลุกขึ้นเต้นตาม

 

มาลองอร่อยไม่ซ้ำใครสุดยอดอาหารแม็กซิกันรสต้นตำรับ ทุกคนต้องห้ามพลาด  ต้นตำรับที่ดีที่สุดประกอบกับกรรมวิธีการปรุงอาหาร วัตถุดิบและการจัดจานแบบโมเดิร์นโดยเชฟ Carlos’s Creations  ด้านเมนูอาหารต่างติดใจในรสชาติเผ็ดๆ แถมยังทำให้ลิ้นชา แต่เชื่อว่าน้อยคนที่จะรู้ที่มาของและเครื่องดื่มก็อลังการไม่แพ้บรรยากาศร้าน มาชมความพิเศษของเมนูอาหารและเครื่องดื่มกับความแปลกใหม่ทั้งการเลือกใช้วัตถุดิบ กรรมวิธีการปรุงแบบสมัยใหม่และการจัดจานที่สวยงามมากๆ

Mr.Eric Hallin : General Manager Rembrandt Hotel@Towers Bangkok
เชฟคาร์ลอส บราโว” มาสเตอร์เชฟแห่งห้องอาหารเม็กซิกาโน่ ผู้มีสัญชาติเม็กซิกัน
ซัลซ่าแดนซ์ (Salsa Dance)

เครื่องดื่มสูตรพิเศษที่ “เม็กซิกาโน่” คัดสรรบรรดาเตอร์กีล่า ชั้นดีจากทั่วทุกมุมโลกมารวมกันไว้ที่บาร์แห่งนี้ ​ โดยบาร์เทนเดอร์มากประสบการณ์จะแสดงลีลาวาดลวดลายภายในบริเวณบาร์ให้ได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด เมนูเครื่องดื่มที่พลาดไม่ได้ของเม็กซิกาโน่ ได้แก่ La Hacienda Margarita , Margarita El Rey, Copa Especial La Hacienda and La Fruta Margarita และ Mexicano’s Pisco Sour

มาชมเมนูอาหารสุดพิเศษเซ็ตแรก ต้อนรับซัมเมอร์ เดือนเมษายน 2561
1 CAMARONES EN AGUACHILE Y TARTAR DE AGUACATE กุ้งแช่อิ่มกรุบกรอบกับอะโวคาโดทาร์ทาร์รสกลมกล่อม

2.GORDITA DE COCHINITA PIBIL
แป้งข้าวโพดทอดสอดไส้หมูผัดปรุงรสจัดจ้าน

3.HUACHINANGO CON ALMEJAS Y CHORIZO A LA VERACRUZANA
ปลากะพงแดงเนื้อชุ่มฉ่ำกับหอยสด ๆ และไส้กรอกโชริโซสไตล์เบรากุซ

4.FILETE DE RES CON MOLE NEGRO Y HABANERO
เนื้อสันในนำเข้าเกรดพรีเมี่ยมย่างจนหอมกรุ่น เสิร์ฟมาพร้อมซอสแบล็คโมล และพริกฮาบาเนโร

5.TORRIJA DE TRES LECHES
เค้กสุดนุ่มชุ่มช่ำไปด้วยนม ขนมหวานสไตล์เม็กซิกันแท้

โดยรวมแล้ว อาหารแม็กซิกันของ Mexicano Restaurante อร่อยง่าย เฉียบขาดด้วยรสชาด และยังมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว  @REMBRANDT HOTEL BANGKOK, สุขุมวิท 18 อาหารจานเด่นของแม็กซิโกที่หลายคนอาจจะพอรู้จัหรือแม้แต่เป็นเมนูโปรด ด้วยความง่ายและอร่อยเครื่องเคียงที่เราเห็นอยู่บ่อยๆ ในอาหารเม็กซิกัน กลิ่นอายแม็กซิกัน ที่รสชาดจัดจ้าน ไม่แพ้สีสัน

ห้ามพลาด หากไปเยือนเพราะความพิเศษของร้าน Mexicano Restaurante ตั้งแต่บรรยากาศร้านที่ชั้น4 ของโรงแรม พร้อมกับการตกแต่งร้านแบบแม็กซิกันของ Mexicano Restaurante ที่ผสมผสานกับการตกแต่งสไตล์สมัยใหม่ที่สวยจนสามารถเป็นแลนมาร์คย่อมๆ ที่นี่มีให้เลือกหลากหลาย ถูกปากชาวไทยและชาวต่างชาติอย่างแน่นอน

ชวนเพื่อนๆ ชิมอาหารแม็กซิกันแบบต้นตำรับภายใต้บรรยากาศแบบแม็กซิกันแท้ๆ มาชนแก้วด้วยเครื่องดื่มสุดพิเศษ เม็กซิกาโน่” ตั้งอยู่ภายในโรงแรมแรมแบรนด์ กรุงเทพฯ (ชั้น 1) สุขุมวิท ซอย 18 เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 17.00 – 24.00 น.​ มีวงดนตรีเม็กซิกันบรรเลงสดทุกวัน (ยกเว้นวันอังคาร) นอกจากนั้น ยังมี “เอล บรันซ์” (El Brunch) ให้เลือกอิ่มอร่อยในมื้อสายทุกวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 12.00 ­– 15.00 น.
ราคา 800​ บาท และ  เด็ก ราคา 200 บาท

บริการจัดเลี้ยงส่วนตัวสุดเอ็กซ์คลูซีฟ และเทศกาลอาหารที่น่าตื่นตาตื่นใจตลอดทั้งปี สำรองที่นั่ง  โทร. 02 261 7100 mexicano@rembrandtbkk.com
Website: http://www.rembrandtbkk.com/restaurants/
Facebook: https://www.facebook.com/Mexicanobkk

ติดตามข่าวสารโปรโมชั่นของร้านเม็กซิกาโน่ และ โรงแรมแรมเบรนดท์
สุขุมวิท 18กรุงเทพฯ
https://www.rembrandtbkk.com/restaurants/ และ www.facebook.com/rembrandtbkk

#mexicanobkk #rembrandtbkk #mexicanfood #foodie #bangkok #mexican #brunch #family

For advance reservations email us at
Location: โรงแรม Rembrandt Hotel Bangkok, สุขุมวิท 18