Category Archives: Sports

Sports Lifestyle

อาบน้ำเพ็ญ @ระนอง ในวันที่พระจันทร์เต็มดวง

ระนองจัดงาน อาบน้ำเพ็ญ @ระนอง
ประจำปี 2561 อาบน้ำแร่คืนวันเพ็ญ
เดือน 12 เสริมบารมีชีวิต

เมื่อช่วงวันลอยกระทงที่ผ่านมา  Toptotravel และ ทีมสื่อมวลชน  ได้รับเกียรติจากท่านผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง มีโอกาสร่วมพิธีการอาบน้ำเพ็ญ หนึ่งปีจะนิยมทำในวันเพ็ญเดือน 12  ความศรัทธาที่ถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยโบราณ นั่นคือ พิธี อาบน้ำเพ็ญ ในคืนวันเพ็ญเดือน 12 พิธีกรรม อาบน้ำเพ็ญขึ้นตามความเชื่อ เพื่อชำระล้างอัปมงคล และรับพลังดีๆจากพระจันทร์ คือพลังด้านเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ ความเป็นมงคลทั้งหลายให้เกิดกับตน โดยปฏิบัติตามความเชื่อของคนโบราณ ให้ตักน้ำจากแม่น้ำลำคลอง  หรือแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติอย่างที่ ณ บริเวณ บ่อน้ำแร่ร้อนรักษะวาริน อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง มาอาบในช่วงเวลาเที่ยงคืน

โดยนำขันภาชนะใส่น้ำไปตั้งไว้กลางแจ้งเพื่อไม่ให้บดบังแสงจันทร์ รอจนกระทั่งบังเกิดเงาของพระจันทร์ลอยเด่นอยู่ภายในขันน้ำมนต์ เพื่อให้น้ำได้ซึมซับพลังงานจากพระจันทร์ แล้วให้อาบชำระร่างกายในตอนนั้น

นายจตุพจน์ ปิยัมปุตระ ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง

กิจกรรมที่ประชาชาวไทยนิยมทำในวัดลอยกระทง คือ การสวดมนต์ขอพรพระ รวมไปถึงการอาบน้ำเพ็ญ ท่ามกลางแสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญเดือนสิบสอง ซึ่งเมื่อคืนที่ผ่านมา นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร และ นายจตุพจน์ ปิยัมปุตระ ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานร่วมในการเปิดงาน อาบน้ำเพ็ญ @ระนอง ประจำปี 2561 โดยมีส่วนราชการ พ่อค้า ประชาชน เข้าร่วมงาน ณ บริเวณ บ่อน้ำแร่ร้อนรักษะวาริน อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง

จัดงาน”อาบน้ำเพ็ญ@ระนอง” ประจำปี 2561 อาบน้ำแร่คืนวันเพ็ญเดือน 12 เสริมบารมีชีวิต ซึ่งเป็นการจัดงานขึ้นเป็นปีที่ 2 ของจังหวัดระนอง เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และร่วมสืบสานประเพณีโบราณ

ส่วนที่บริเวณลาน ณ บริเวณ บ่อน้ำแร่ร้อนรักษะวาริน อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง นายจตุพจน์ ปิยัมปุตระ ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ประชาชน ร่วมกันประกอบพิธีบวงสรวงงานอาบน้ำเพ็ญ @ระนอง เพื่อความเป็นสิริมงคล งานอาบน้ำเพ็ญ@ระนอง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ของจังหวัดระนอง

การจัดงานงาน อาบน้ำเพ็ญ@ระนอง โดยในบริเวณงาน มีการออกร้าน นำอาหารพื้นเมืองมาจำหน่ายเป็นตลาดย่อมๆ และมีพิธีอาบน้ำเพ็ญ ซึ่งถือเป็นพิธีกรรมที่ศักสิทธิ์ เป็นศิริมงคลแก่ชีวิต

อาบน้ำเพ็ญ@ระนอง ในครั้งนี้ ภายในงานจะมีกิจกรรมตลาดย้อนยุค ของดี 5 อำเภอ การออกบูธ ร้านอาหารที่โดดเด่นของจังหวัดตลาดย้อนยุคของดีเมืองระนอง อาหารพื้นเมือง การจำหน่ายสินค้า OTOP นวัตวิถี 28 แห่ง
ในจังหวัดระนอง การแสดงของเด็กนักเรียนในจังหวัดระนอง การแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่น

การประกอบพิธีกรรมอาบน้ำเพ็ญ ซึ่งในส่วนพิธีกรรมอาบน้ำเพ็ญ ได้มีสวดเจริญพระพุทธมนต์ พิธีพุทธาภิเษก ตามแบบโบราณ ที่บริเวณบ่อน้ำแร่
(บ่อพ่อ) โดยพระเกจิชื่อดัง และอาจารย์คฑา ชินบัญชร เพื่อเสริมบารมีชีวิตในคืนวันเพ็ญเดือน 12 ตามความเชื่อแบบโบราณที่มีมาแต่ช้านานตามความเชื่อคนไทยโบราณ ในเรื่องพลังลี้ลับ ที่เกิดจากดวงจันทร์ในคืนเดือนเพ็ญ ให้เกิดศิริมงคลขับไล่สิ่งไม่ดีออกจากร่างกาย มีโชคดีมีลาภ มีเสน่ห์ ที่ป่วยไข้ก็จะหาย ชะตาชีวิตรุ่งโรจน์ ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่ที่พิเศษที่สุดคือการอาบน้ำเพ็ญในวันที่พระจันทร์เต็มดวง

โดยภายในงานนอกจากจะมีการประกอบพิธีอันศักดิ์สิททธิ์จากเกจิชื่อดัง
ยังมีการแสดงของเด็กนักเรียนหลายโรงเรียนในจังหวัดระนอง และ Otop นวัติวิถีทั้ง 28 แห่งในจังหวัดระนองมาจำหน่ายด้วย ทั้งนี้งานอาบน้ำเพ็ญ @ระนอง

จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-22 พ.ย.2561 เริ่มตั้งแต่เวลา 15.00 น.เป็นต้นไป
สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดระนอง @prd.ranong
Face Book : https://www.facebook.com/prd.ranong

GIT เปิดตัว TEMP Pop-Up Store by GIT

ชูอัตลักษณ์ท้องถิ่นและการออกแบบร่วมสมัย
เพื่อสร้างแรงบันดาลใจนักออกแบบรุ่นใหม่

สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เปิดตัว TEMP Pop-Up Store by GIT สร้างแหล่งเรียนรู้ และ แรงบันดาลใจด้านแฟชั่นและการออกแบบให้ กับนักออกแบบ รุ่นใหม่ และ ผู้ที่สนใจ พร้อมจำหน่ายสินค้าจากโครงการพัฒนารูปแบบและคุณภาพสินค้าอัญมณี และเครื่องประดับสู่ภูมิ- ภาคอย่างยั่งยืน ณ บริเวณห้องสมุดอัญมณีและเครื่องประดับ ชั้น 1 สถาบันวิจัยและพัฒนา อัญมณีและเครื่องประดับ แห่งชาติ(องค์การมหาชน) อาคารไอทีเอฟ ทาวเวอร์ ถนนสีลม โดยมีพิธีเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 25 ตุลาคม 2561

โดยในวันเปิดตัวสถาบันยังได้จัดกิจกรรม Workshop “Wire Your Gems to Jewelry!” เพื่อให้แขกผู้มีเกียรติ ที่เข้าร่วม งาน ได้ลองประดิษฐ์เครื่องประดับด้วยตัวเอง ผ่านการถักทอ ร้อยเรียง อัญมณี และ วัสดุอันสร้างสรรค์ โดยได้รับเกียรติ จาก คุณสุรศักดิ์ มณีเสถียรรัตนา นักออกแบบ และเจ้าของแบรนด์ Carletta Jewellery มาเป็นวิทยากร

นางดวงกมล เจียมบุตร ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ กล่าวว่า GIT ได้ ปรับรูป แบบห้องสมุดอัญมณีและเครื่องประดับ จัดโซน TEMP Pop-Up Store by GIT เพื่อสร้างศูนย์นัดพบ แห่งใหม่ให้แก่ผู้รัก การออกแบบ และแฟชั่น พร้อมสร้างโอกาสการจำหน่ายสินค้าจากอัตลักษณ์การออกแบบจากผลงานของผู้ประกอบการ ที่ผ่านการคัดเลือกในจังหวัดเป้าหมาย 5 จังหวัด ได้แก่ แพร่ ตราด เพชรบุรี สุรินทร์ และ สตูล ซึ่งมีแนวคิด และ ต่อยอด ธุรกิจจนสามารถสร้างแบรนด์ที่มีเอกลักษณ์ของตนเองโดยมีการพัฒนารูปแบบของเครื่องประดับร่วมกับนักออกแบบชื่อดัง อาทิ คุณวไลพรรณ ชูพันธ์ จากแบรนด์ FLOW คุณเอก ทองประเสริฐ จากแบรนด์ EK Thongprasert คุณสุรศักดิ์ มณีเสถียรรัตนา จากแบรนด์ Carletta Jewellery คุณอริสรา แดงประไพ จากแบรนด์ Arisara และ คุณจิตต์สิงห์ สมบุญ ซึ่งนักออกแบบแต่ละท่านจะช่วยดึงจุดเด่น ที่น่าสนใจของแต่ละจังหวัด และเครื่องประดับในท้องถิ่นมาปรับให้ร่วมสมัย และสามารถสวมใส่ได้ในชีวิตประจำวัน

พร้อมทั้งเปิดวางจำหน่ายสินค้าจากนักออกแบบชั้นนำที่การันตีจากรางวัลDEmark หรือ Design Excellent Mark จากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และ GMARK (Good Design Mark ของประเทศ ญี่ปุ่น) ซึ่งนอกจากสินค้าอัญมณี และเครื่องประดับ ยังรวมสินค้าไลฟ์สไตล์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น แว่นตา กระเป๋าเงิน ผ้า พันคอ เสื้อผ้า มาจัดแสดงอย่างต่อเนื่อง


โดยจะมีการปรับเปลี่ยนทุกๆ 3 เดือน ในรูปแบบนิทรรศการหมุนเวียน เพื่อให้ เกิดความหลากหลาย และสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้เข้าเยี่ยมชม โดยสำหรับครั้งนี้ ในคอนเซปต์ Eat Me เพื่อสื่อ ให้คนเห็นว่าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับนั้นสามารถจับต้องได้ง่าย ผู้บริโภคสามารถเข้าถึง ได้ง่ายผ่าน รูปแบบของห้อง อาหารและอุปกรณ์ในการรับประทานอาหารที่นำมาใช้เป็นอุปกรณ์ตกแต่ง ให้เครื่องประดับ ดูน่า สนใจมากขึ้น และหลัง จากนี้เราได้จัดเตรียมคอนเซป Color of Party ที่จะปรับเปลี่ยนให้ TEMP Pop-Up Store ของเรามีความสดใส และดึง ดูดผู้สนใจมากยิ่งขึ้น

TEMP Pop-Up Store by GIT ถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการขยายตลาดสินค้าไทยจากชุมชนสู่ตลาดสากลผ่าน GIT สำหรับผู้ที่สนใจต้องการเลือกซื้อสินค้า ในโครงการพัฒนารูปแบบและคุณภาพสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับสู่ภูมิภาค อย่างยั่งยืน

สถาบันเปิดให้บริการในวันจันทร์ – วันศุกร์
ตั้งแต่เวลา 9.00 – 17.00 น. ณ บริเวณห้องสมุด อัญมณีและ เครื่องประดับ ชั้น 1 สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ
(องค์การมหาชน) อาคารไอทีเอฟ ทาวเวอร์ ถนนสีลม
โทร. 02 634 4999 ต่อ 102 – 103

สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.git.or.th 
https://www.facebook.com/TEMP-Pop-up-Store-by-GIT-259891488203483/

12 ปี 12 กิจกรรม ฉลองครบรอบโนโวเทล สุวรรณภูมิ แอร์พอร์ต

ในโอกาสที่ โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ แอร์พอร์ต เปิดดำเนินการครบ 12 ปี ทางโรงแรม  นำโดย มร. คริสตอฟ เจอโฟรย์, ผู้จัดการทั่วไป ร่วมกับ กิจการร่วมค้า ยูนิเวอร์แซล ฮอสพิแทลลิที  จัด 12 กิจกรรม  ฉลองโอกาสพิเศษ
ดังกล่าว อาทิ “คุณคือฮีโร่”

จัดกิจกรรมเยี่ยมชมโรงแรมให้กับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ อาทิ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต, มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ, มหาวิทยาลัยรังสิตและมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
มร. เจอโฟรย์และจิตติมาศ เกตุวรวิทย์ (กลาง) กรรมการผู้จัดการ กิจการร่วมค้า ยูนิเวอร์แซล ฮอสพิแทลลิที

เพื่อเปิดประตูต้อนรับบุคคลสำคัญ (ฮีโร่) ในบริเวณท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่ได้ให้การดูแลเป็นอย่างดีตลอดมา โดยทางโรงแรมได้เชิญบุคคลสำคัญ อันได้แก่ ฝ่ายมาตรฐานท่าอากาศยานและชีวอนามัย, ฝ่ายรักษาความปลอดภัย ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, ฝ่ายตรวจสอบและเก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, ฝ่ายดับเพลิงและกู้ภัย ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, ฝ่ายแพทย์ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, ตำรวจภูธร, ตำรวจท่องเที่ยว, ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานศุลกากรตรวจสินค้าท่าอากาศยานสุวรรรณภูมิ ฯลฯ

บุคคลสำคัญจากฝ่ายดับเพลิงและกู้ภัย ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
เชิญกลุ่มซูเปอร์คาร์มาสังสรรค์ ซันเดย์บรั๊นซ์ (Sunday Brunch) ที่ ทัชดาวน์สปอร์ตบาร์ (Touchdown Sports Bar)

แขกรับเชิญพิเศษได้แก่วงดนตรีอีทีซี  และ “หนิง” ศรัยฉัตร กุญชร ณ อยุธยา มาสร้างความสนุกสนานและความบันเทิง ซึ่งงานดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ ห้องสุวรรณภูมิแกรนด์บอลลูม  โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ แอร์พอร์ต กิจกรรมอื่น ๆ  ประกอบด้วย การเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กนักเรียนผู้มีความบกพร่องทางการได้ยิน จำนวนกว่า 200 คนจากโรงเรียนเศรษฐเสถียรในพระราชูปถัมภ์, จัดกิจกรรมเยี่ยมชมโรงแรมให้กับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ
งานเลี้ยงขอบคุณพนักงาน, ซูเปอร์คาร์บรั๊นซ์ ที่ทัชดาวน์สปอร์ตบาร์, ฯลฯ

ต๊อด-ปิติ วิชั่น 3 ปี ปั้นเครือข่ายขนส่งครอบคลุมไทย – ภูมิภาค

โมเดลธุรกิจของ BevChain Logistics ในประเทศไทย ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำ ถึงลูกค้าร้านปลีก

คุณปิติ ภิรมย์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท บีอาร์เอฟ โลจิสติคส์ จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากได้รับมอบหมายให้เข้ามาดูแลและพัฒนาห่วงโซ่การผลิตหรือ Supply Chain ในเครือบริษัท บุญรอดฯ ทั้งระบบครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อให้การบริหารจัดการเกิดประสิทธิภาพและลดต้นทุน อีกทั้งยังยกระดับการขนส่ง ซึ่งที่ผ่านมาก็เป็นไปในทิศทางที่ดี

การร่วมทุนกับ บริษัท ลินฟ้อกซ์ โฮลดิ้งส์ 2018 (ประเทศไทย) เกิดจากทัศนคติและความต้องการสร้างเครือข่ายทางการขนส่ง ที่ทันต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยและภูมิภาค ที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ ถึงปลายน้ำ ผสานกับความรู้ความเชี่ยวชาญของทั้ง 2 บริษัท จึงถือเป็นการจับคู่ธุรกิจที่สมบูรณ์แบบหรือ Perfect Match และการผนึกกำลังกันครั้งนี้ บุญรอดฯ จะใช้จุดแข็งและศักยภาพที่มีตลอด 85 ปีในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะเครือข่ายการค้า ตัวแทนจำหน่าย ซึ่งหมายถึงการที่บริษัทสามารถส่งสินค้าและบริการเจาะถึงร้านค้าปลีกที่อยู่ตามตรอก ซอก ซอยในทุกจังหวัดทั่วประเทศ เมื่อ เชื่อว่าลูกค้าจะได้รับประโยชน์สูงสุดทั้งด้านต้นทุน ช่วยเพิ่มศักยภาพธุรกิจการค้า เพิ่มโอกาสในการทำตลาดเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายปลายทางหรือ Last mileได้มากยิ่งขึ้น

คุณปิติ ภิรมย์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท บีอาร์เอฟ โลจิสติคส์ จำกัด

“ภายใน 3 ปีนี้ BevChain Logistics วางเป้าหมายการสร้างเจาะตลาดระดับภูมิภาคอาเซียน รองรับการเติบโตของตลาดโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม (CLMV)เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอีกทั้งยังเป็นตลาดสำคัญของสินค้าและบริการจากประเทศไทย เมื่อแบรนด์ต่างๆเข้าไปขยายตลาด ทำให้ต้องการบริการด้านโลจิสติกส์ตามไปด้วย และบริษัทพร้อมตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกอุตสาหรรม ทุกขนาด ทั้งบริษัทเล็ก กลาง ใหญ่ เพื่อเติบโตไปด้วยกัน ปิติ กล่าวเสริม”

ทั้งนี้ จุดแข็งของลินฟ้อกซ์ คือ ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการสินค้าและการขนส่ง ถือเป็นบริษัทให้บริการด้านโลจิสติคส์เอกชนที่ใหญ่ที่สุดในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค มีธุรกิจครอบคลุมตลาดใน 12 ประเทศ มีคลังสินค้ากว่า 200 แห่ง มีพนักงาน 24,000 คน และมีการให้บริการส่งสินค้าไปยังตลาดทั่วโลก ครอบคลุมหลากหลายเซ็กเตอร์ เช่น สินค้าอุปโภค-บริโภค ธุรกิจค้าปลีก อุตสาหกรรมเหมืองแร่ และอุตสาหกรรมปิโตรเคมีฯ โดยมีมูลค่ารวมกว่า 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนในประเทศไทยนั้นลินฟ้อกซ์ให้บริการด้านขนส่งสินค้ามานานถึง 25 ปี มีความเข้าใจถึงความต้องการของตลาดในประเทศไทยเป็นอย่างดี

ขณะที่จุดแข็งของบุญรอด คือประสบการณ์ขนส่งสินค้าและบริการมานาน 85 ปี ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เจาะลึกตั้งแต่ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่(โมเดิร์นเทรด) ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ระบบเอเย่นต์ตัวแทนจำหน่ายในทุกๆจังหวัด ลงลึกถึงระดับอำเภอมากกว่า 200 ราย ไปจนถึงร้านค้าย่อยทั่วทั้งประเทศ เมื่อผสานกับความเชี่ยวชาญทางด้านโลจิสติคส์ของ BevChain Logistics เชื่อว่าบริษัทสามารถนำเสนอโซลูชั่นปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของลูกค้า โครงสร้างการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยลดต้นทุน เพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาด สร้างการเติบโตของธุรกิจในอนาคตร่วมกับลูกค้า

สำหรับโมเดลธุรกิจของ BevChain Logistics ในประเทศไทย จะเน้นให้บริการที่เป็นมาตรฐานเดียวกับในประเทศออสเตรเลีย ได้แก่ การให้บริการทางด้านการบริหารจัดการคลังสินค้า การให้บริการทางด้านจัดส่งสินค้า เป็นต้น แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปสำหรับ BevChain Logistics ในประเทศไทย คือ การเจาะกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งจะโฟกัสกลุ่มลูกค้าที่เป็นธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) ขนาดปานกลางถึงขนาดย่อม และลูกค้ากลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มต่างๆ ที่ต้องการป้อนสินค้าและบริการถึงลูกค้าเป้าหมายปลายทางหรือ Last Mile

ปัจจุบันภาพรวมธุรกิจโลจิสติกส์ในประเทศไทย ธุรกิจโลจิสติกส์รวมปี 2018 (215,000 ล้านบาท) แบ่งเป็นธุรกิจขนส่งสินค้าทางบกในปี 2018 มีมูลค่า 145,100 – 147,300 ล้านบาท ธุรกิจคลังสินค้า ปี 2561 มูลค่า 75,500 – 76,700 ล้านบาท

ตลาดขนส่งสินค้าทางบกเติบโต +5.3-7% PY(137,700 ล้านบาท) คลังสินค้า + 5.3 – 7% PY (71,700 ล้านบาท) ด้วยปัจจัยจากการขยายตัวของเศรษฐกิจ การลงทุนของภาครัฐและเอกชน การขยายตัวของ E-commerce ปัจจัยการปรับรูปแบบจาก Offline platform to Online platform ทำให้มีความต้องการคลังสินค้าพรี่เมี่ยมมากขึ้น

การจับมือครั้งนี้ทำให้เครือบุญรอดเป็นพาร์ตเนอร์รายที่ 2 ของลินฟ้อกซ์ และเป็นรายแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทั้งนี้จุดแข็งของลินฟ้อกซ์คือความรู้และความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการสินค้าและการขนส่ง ถือเป็นบริษัทให้บริการด้านโลจิสติกส์เอกชนที่ใหญ่ที่สุดในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก มีธุรกิจครอบคลุมตลาดใน 12 ประเทศ มีคลังสินค้ากว่า 200 แห่ง มีพนักงาน 24,000 คน ให้บริการส่งสินค้าไปยังตลาดทั่วโลก ครอบคลุมหลากหลายเซ็กเตอร์ เช่น สินค้าอุปโภค-บริโภค ธุรกิจค้าปลีก อุตสาหกรรมเหมืองแร่ และอุตสาหกรรมปิโตรเคมีฯ มูลค่ารวมกว่า 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

ขณะที่จุดแข็งของบุญรอดคือประสบการณ์ขนส่งสินค้าและบริการมานาน 85 ปี ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เจาะลึกตั้งแต่ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ (โมเดิร์นเทรด) ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ ระบบเอเย่นต์ตัวแทนจำหน่ายในทุกๆ จังหวัด ลงลึกถึงระดับอำเภอมากกว่า 200 ราย ไปจนถึงร้านค้าย่อยทั่วทั้งประเทศกว่า 200,000 ร้าน ซึ่งยอดขายของเครือบุญรอด 80% มาจากกลุ่มนี้ มีเพียง 20% เท่านั้นที่มาจากโมเดิร์นเทรด

ต๊อด-ปิติ บอกว่า BevChain Logistics จะเน้นให้บริการที่เป็นมาตรฐานเดียวกับในออสเตรเลีย ทั้งการให้บริการทางด้านการบริหารจัดการคลังสินค้า การให้บริการทางด้านจัดส่งสินค้า เป็นต้น แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือ การเจาะกลุ่มเป้าหมายซึ่งกลุ่มแรกจะมองในกลุ่มเครื่องดื่ม ก่อนที่จะขยับไปยังอาหารและสินค้า FMCG

เบื้องต้น BevChain Logistics จะเน้นซัพพอร์ตในเครือบุญรอด ทั้งเครื่องดื่ม เช่น น้ำเปล่า โซดา เบียร์ และยังมีกลุ่มอาหารอีก 14 บริษัทที่จะเป็นธุรกิจหลักของกลุ่มบุญรอด ในอนาคตจะมีทั้งอาหารแช่แข็ง ร้านอาหาร ดังนั้นการมีซัพพลายเชนจะมารองรับธุรกิจในส่วนนี้ด้วย

สิงห์ คอมเพล็กซ์ คุณปิติ ภิรมย์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีอาร์เอฟ โลจิสติคส์ จำกัด และ มร.ปีเตอร์ ฟ้อกซ์ ประธานบริษัท ลินฟ้อกซ์อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป พีทีวาย ลิมิเต็ด ที่ใหญ่สุดในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค งานแถลงข่าวเปิดตัว บริษัท บีอาร์เอฟ โลจิสติคส์ จำกัด ภายใต้ชื่อ BevChain Logistics โดยมีทุนจดทะเบียนเบื้องต้น 250 ล้านบาท ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง “บริษัท บุญรอด ซัพพลายเชน จำกัด” และ “บริษัท ลินฟ้อกซ์ โฮลดิ้งส์2018 (ประเทศไทย)” ท่ามกลางแขกผู้มีเกียรติ ผู้บริหาร พร้อมสื่อมวลชนร่วมงานอย่างคับคั่ง

กลุ่ม 4 จังหวัดภาคตะวันออก ชวนเที่ยวงานสีสันตะวันออก ครั้งที่ 15

ท่องเที่ยวหลากสีสัน เมืองชายทะเลนานาชาติ
The Colors of the Vibrant Sea

​สีสันตะวันออก ครั้งที่ 15 ประจำปี 2561 ภายใต้คอนเซปต์  “The Colors of the Vibrant Sea ท่องเที่ยวหลากสีสัน เมืองชายทะเลนานาชาติ”
จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม – 2 กันยายน 2561 ภายในงานไทยเที่ยวไทย ครั้งที่ 48 ณ เพลนารี ฮอลล์ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

โดยกลุ่ม 4 จังหวัดภาคตะวันออก ได้แก่ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด ซึ่ง 4 จังหวัดนี้ สามารถท่องเที่ยวได้ทุกฤดูเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวทั้งแหล่งท่องเที่ยวชายทะเลนานาชาติ เชิงนิเวศ เชิงเกษตร เชิงสุขภาพ และการท่องเที่ยวโดยชุมชน ได้กำหนดกลยุทธ์การพัฒนาและเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขัน

โดยเน้นการพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยว การสร้างความหลากหลายของกิจกรรมการท่องเที่ยว และส่งเสริมการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้น ซึ่งภายในงานนี้ ได้รวมธุรกิจผู้ประกอบการชั้นนำ มากคุณภาพ ทั้งผู้ประกอบการ การท่องเที่ยว โรงแรม ที่พัก และสินค้าท้องถิ่นของภาคตะวันออก มากมายกว่า 76 บูธ อาทิ แพ็คเกจที่พักจาก โรงแรมซีวิว รีสอร์ท ระยองชาเล่ต์, การ์เด้น ซีวิว รีสอร์ท, เกาะกูด คาบาน่า บัตรเข้าชมแหล่งท่องเที่ยว จาก Frost Magical Ice of Siam, Teddy Bear Museum, Oasis Sea World และยังสามารถเลือกซื้อสินค้าท้องถิ่นคุณภาพ อาทิ ผลไม้แปรรูป, ผลไม้สดจากสวน, ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร, น้ำมันเหลือง, เพชร พลอย จิวเวลรี่ เอกลักษณ์เฉพาะของภาคตะวันออกเรียกได้ว่า มางานเดียว เที่ยวครบ 4 จังหวัด พร้อมโปรโมชั่น ช้อปครบตั้งแต่ 3,000 บาท เป็นต้นไป แลกรับผลิตภัณฑ์โอท็อปจากภาคตะวันออก พร้อมลุ้นรางวัลโรงแรม ที่พัก จำนวน 20 รางวัล และ รางวัลสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท จำนวน 1 รางวัล

พิธีเปิดงานจัดขึ้นในวันที่ 30 สิงหาคม 2561 เวลา 18.00 น. โดยประธานในพิธี นายภวัต เลิศมุกดา รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี หัวหน้ากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก พร้อมด้วยตัวแทนจากจังหวัดระยอง จังหวัดจันทบุรี และจังหวัดตราด ให้เกียรติร่วมงานพร้อมด้วยแขกผู้มีเกียรติจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน กับการแสดงพิธีเปิด “Colors of the vibrant sea ท่องเที่ยวหลากสีสัน เมืองชายทะเลนานาชาติ” สื่อถึงสีสันในฤดูหนาวและฤดูร้อนที่เต็มไปด้วยสีสันของกิจกรรมริมชายหาดและทางทะเล สัมผัสประสบการณ์สีสันของเมืองชายทะเลนานาชาติที่โด่งดังระดับโลก นอกจากนี้ยังมีโซนนิทรรศการ การท่องเที่ยวชายทะเลนานาชาติ และกิจกรรมทางทะเลของภาคตะวันออก พร้อมชมการแสดงสาธิตภูมิปัญญาท้องถิ่นเอกลักษณ์เฉพาะภาคตะวันออก อาทิ สาธิตเกลือสปาและสมุนไพรดับกลิ่น สูตรเฉพาะจากจังหวัดชลบุรี, การทำยาดมจากลูกกระวาน สมุนไพรท้องถิ่นของจังหวัดจันทบุรี และ สาธิตการทำสบู่เหลวกฤษณาและยาดมสมุนไพรแท้จันดารานาสิก จากจังหวัดระยอง และ การทำตะลิงปลิงแช่อิ่มและสาธิตการสานกระเป๋าจากพลาสติก จากจังหวัดตราด และในทุกวันงานชมการแสดงศิลปวัฒนธรรม พร้อมถ่ายรูปคู่กับแลนด์มาร์คสีสันตะวันออก ไลค์ & แชร์ รับของรางวัล ตลอด 4 วันงาน

​วางแผนเที่ยวรับลมทะเลกันที่ งานสีสันตะวันออก ครั้งที่ 15 “The Colors of the Vibrant Sea ท่องเที่ยวหลากสีสัน เมืองชายทะเลนานาชาติ”

วันที่ 30 สิงหาคม – 2 กันยายน 2561 งานไทยเที่ยวไทย ครั้งที่ 48
ณ เพลนารี ฮอลล์ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์​

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/colorsoftheeastbyimc

จ.ชลบุรี เชิญร่วมประกวดภาพถ่ายในหัวข้อ “บางเสร่ยิ้มได้”

ร้อยเรื่องราวบางเสร่ …
ชุมชนชายทะเลที่เราหลงรัก

กระทรวงวัฒนธรรม และจังหวัดชลบุรี จัดประกวดภาพถ่ายในหัวข้อ “บางเสร่ยิ้มได้” ในโครงการพัฒนาและปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมชุมชนบางเสร่ “เที่ยววิถีเท่ บางเสร่ โดยชุมชน” เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมกันของทุกภาคส่วน สร้างรายได้ให้แก่ชุมชน และเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน

กิจกรรมประกวดภาพถ่ายในหัวข้อ “บางเสร่ยิ้มได้” เน้นแนวความคิด ร้อยเรื่องราวบางเสร่ ชุมชนชายทะเลที่เราหลงรัก ชิงรางวัลรวมมูลค่ากว่า 1 แสนบาท ผู้สนใจสามารถส่งภาพถ่ายฟิล์มหรือดิจิตอลได้ไม่เกินท่านละ 3 ภาพ สามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 4 – 15 สิงหาคม 2561

พร้อมดูรายละเอียดเพิ่มเติม และวิธีสมัคร ได้ที่ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดชลบุรี โทร 038 276407 ต่อ 12 หรือFacebook Fanpage : ถนนสายวัฒนธรรม ชุมชนประมงพื้นบ้าน หมู่ 4 ตำบลบางเสร่ – ตลาดดีวิถีชุมชน

การประกวดถ่ายภาพ
๑. หัวข้อการประกวด”บางเสร่ยิ้มได้”
๒. ระดับการประกวด ประชาชนทั่วไป
๓. กติกา
• เป็นภาพถ่ายสีจากกล้องฟิลม์ขนาด ๓๕ มม. หรือกล้องดิจิตอลความละเอียด ๕ ล้านพิกเซล ขึ้นไป โดยจะต้องส่งภาพพร้อมฟิลม์หรือ ไฟล์ภาพบันทึกลงแผ่น CD โดยไม่อนุญาตให้มีการตกแต่งภาพ
• ผู้ส่งภาพประกวดสามารถส่งภาพเข้าประกวดได้ประเภทละไม่เกิน ๓ ภาพ
• ภาพที่ส่งเข้าประกวดจะต้องเป็นภาพของตนเอง ซึ่งไม่เคยเผยแพร่ ในที่สาธารณะหรือเคยได้รับรางวัลมาก่อน
• ผู้ส่งภาพเข้าประกวดจะต้องระบุรายละเอียดของการถ่ายภาพ ชื่อภาพ และระบุการถ่ายภาพโดยใช้กล้องประเภท ใด ชนิดเลนส์สถานที่ถ่ายภาพ รูรับแสง ความไวชัตเตอร์และอุปกรณ์อื่นๆพร้อมทั้งบรรยายประกอบภาพ พอสังเขป
• ผู้ส่งผลงานจะต้องกรอกรายละเอียดให้ชัดเจน ถูกต้องและครบถ้วน เพื่อความสะดวกในการติดต่อกลับภายหลัง
• รวบรวมภาพถ่ายและรายละเอียดภาพ ฉายผ่านจอ ทีวีขนาด ๕o นิ้ว แก่คณะกรรมการ
• การตัดสินของคณะกรรมการถือเป็นที่สุด ทั้งนี้ขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่มอบรางวัลหนึ่งรางวัลใด กรณีที่เห็นว่าไม่เหมาะสม
๔. เกณฑ์การตัดสิน
• ๑. การจัดองค์ประกอบของภาพถ่าย ๒๐ คะแนน
• ๒. วามคมชัดและความสวยงามของภาพถ่าย ๒๐ คะแนน
• ๓. การสื่อความหมายของภาพถ่าย ๒๐ คะแนน
• ๔. ความเหมาะสมของรายละเอียดภาพ ๒๐ คะแนน
• ๕. ชื่อภาพสอดคล้องกับภาพถ่าย ๑๐ คะแนน
• ๖. ความคิดสร้างสรรค์ ๑๐ คะแนน
รวมทั้งหมด ๑๐๐ คะแนน
๔.การใช้ภาษา (กะทัดรัด เข้าใจง่าย ชัดเจน) ๑๐ คะแนน
ภาษา กะทัดรัด เข้าใจง่าย ชัดเจน
๕. สํานวนภาษาสละสลวย ถูกต้องเหมาะสม ๑๐ คะแนน
รวมทั้งหมด ๑๐๐ คะแนน

เกษตรอินทรีย์วิถีไทย

จังหวัดนครปฐม และ 18 จังหวัดภาคกลาง
จัดยิ่งใหญ่ งาน   มหกรรมเกษตรอินทรีย์
วิถีไทย 2561  ครั้งที่ 1

​จังหวัดนครปฐมร่วมกับ 18 จังหวัดภาคกลาง จัดงาน “มหกรรมเกษตรอินทรีย์ วิถีไทย 2561” ครั้งที่ 1 โดยมีพิธีเปิดงานวันที่ 3 สิงหาคม 2561 โดย นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ ลาน Exhibition Hall โซน C ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ



นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ ปี 2561 และยังกำหนดให้เกษตรอินทรีย์เป็นนโยบายเร่งด่วนที่ต้องการ ให้ทุกหน่วยงานร่วมดำเนินการขับเคลื่อนภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. 2560 ถึง 2564

เพื่อให้มีการบูรณาการกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมทั้งกระบวนการผลิตรวมถึงการสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือกับทุกภาคีเครือข่ายเพื่อขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ให้ขยายตัวในเชิงพื้นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ผู้บริโภคในประเทศสามารถเข้าถึงสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้ง่ายขึ้น

​การจัดงาน “มหกรรมเกษตรอินทรีย์ วิถีไทย 2561” ครั้งที่ 1 ถือเป็นการจัดงาน ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และนโยบายของกระทรวงการเกษตรและสหกรณ์ ในด้านของการรวบรวมผลผลิตเกษตรอินทรีย์ และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเกษตรอินทรีย์ อาหารอินทรีย์ และท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวกับอินทรีย์ ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานอินทรีย์ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งอยู่ในขั้นเตรียมความพร้อมสู่เกษตรอินทรีย์ของเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร และผู้ประกอบการ จาก 19 จังหวัดในภาคกลาง มาจัดแสดงและให้บริการ เพื่อเป็นการส่งเสริมและเพิ่มช่องตลาดให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบ ได้มีช่องทางจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ พร้อมทั้ง เป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่จะได้บริโภคอาหารที่ปลอดจากสารเคมีทางหนึ่ง

​นอกจากนี้ ยังมีการถ่ายทอดความรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่เกี่ยวกับการทำเกษตรอินทรีย์ จากเกษตรกรผู้เชี่ยวชาญ นิทรรศการให้ความรู้ และคลินิกให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร และผู้ที่สนใจ ทั้งทางตรงและทางอ้อม อันจะส่งผลให้ประเทศไทยเกิดการรับรู้และสร้างความเข้าใจในการทำเกษตรอินทรีย์เพิ่มยิ่งขึ้น

​นายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม กล่าวว่า ด้วยจังหวัดในกลุ่มภาคกลาง 19 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดชัยนาท จังหวัดนครนายก จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดราชบุรี จังหวัดลพบุรี จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดสระแก้ว จังหวัดสระบุรี จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดอ่างทอง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดนครปฐม ได้รับงบประมาณจากยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคกลางให้จังหวัดนครปฐมดำเนินการจัดงาน เพื่อกระตุ้นให้ภาคกลางพัฒนาสู่ภูมิภาคที่มีอาหารและสินค้าเกษตรให้ทันสมัย เพื่อเป็นฐานการผลิตที่ได้มาตรฐานโลก และเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารของประเทศและสนับสนุนยุทธศาสตร์ การพัฒนาเกษตรอินทรีย์ของประเทศให้บรรลุเป้าหมายในการเพิ่มพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืน 5 ล้านไร่ ภายในปี 2564 จึงได้จัดงานมหกรรมเกษตรอินทรีย์วิถีไทย 2561 ครั้งที่ 1 โดยนำผลผลิตเกษตรอินทรีย์และบริการอินทรีย์จากเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร และผู้ประกอบการ จาก 19 จังหวัดภาคกลาง มาจัดแสดงและจำหน่าย โดยแบ่งเป็น 4 โซน ได้แก่ 1) โซนมาตรฐานอินทรีย์ 2) โซนเตรียมความพร้อมสู่เกษตรอินทรีย์ 3) โซนท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวข้องกับอินทรีย์ และ 4)โซนร้านอาหารอินทรีย์

 

​นอกจากนี้ยังจะได้เพลิดเพลินกับการแสดงศิลปะพื้นบ้านสุดตระการตา การเสวนาของผู้รู้ด้านเกษตรอินทรีย์ การสาธิตการทำอาหารอินทรีย์ รวมทั้งซื้อสินค้านาทีทอง ในส่วนของนิทรรศการให้ความรู้นั้น มีทั้งส่วนที่เป็นนิทรรศการมีชีวิตแสดงถึงผลสำเร็จของการส่งเสริมให้เกษตรกรทำการเกษตรแบบอินทรีย์ ตั้งแต่ต้นทาง กลางทางและปลายทาง ขณะเดียวกันยังมีส่วนบริการข้อมูลเกษตรอินทรีย์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ข้อมูลผลิตภัณฑ์ด้านเกษตรอินทรีย์ และข้อมูลผู้ประกอบการที่เกี่ยวกับอินทรีย์ โซนให้ความรู้และคลินิกเกษตร ซึ่งจะคอยให้คำปรึกษา แนะนำ และความรู้ที่จำเป็นเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์จากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง หากเกษตรกรหรือผู้ที่สนใจท่านใดมีปัญหาด้านการเกษตร สามารถปรึกษาที่โซนคลินิกเกษตรภายในงานได้

​สำหรับงาน “มหกรรมเกษตรอินทรีย์ วิถีไทย 2561” ครั้งที่ 1
ระหว่างวันที่ 3 – 5 สิงหาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 10.00 -20.00 น
ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ

เผยเคล็ดลับ แผนประกันภัยสุขภาพไทยวิวัฒน์ แอคทีฟ เฮลท์ 

Thaivivat Health แผนประกันภัยสุขภาพไทยวิวัฒน์ แอคทีฟ เฮลท์  

ไทยวิวัฒน์ อัดฉีดคน Active Health‎ ซื้อวันนี้รับเลย Fitbit Versa รับส่วนลดค่าเบี้ยถึง40% เมื่อออกกำลังกายตามเกณฑ์ ให้จ่ายเบี้ยเป็น รายเดือน OPD สูงสุด 3,000.-/ครั้ง IPD ค่าห้องถึง 10,000.- เจ็บป่วย ไม่ต้องสำรองจ่าย คุ้มครองกีฬาอันตราย ดีแบบนี้รีบเลย

ประกันภัยไทยวิวัฒน์ ในฐานะผู้ที่พัฒนาด้านนวัตกรรมประกันภัยมาอย่างต่อเนื่อง ตามแนวคิด  “คิดเผื่อเพื่อทุกชีวิต” และเล็งเห็นถึงความสำคัญ ของการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ใช้บริการให้สามารถมี  Work Life Balance ไปพร้อมๆ กัน จึงเป็นเหตุผลหนึ่งในการสร้างทางเลือกให้กับผู้บริโภคยุคใหม่ โดยการออกผลิตภัณฑ์ “ประกันภัยสุขภาพ ไทยวิวัฒน์ แอคทีฟ เฮลท์” เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการออกกำลังเพื่อสุขภาพ รวมถึงชื่นชอบการใช้เทคโนโลยีด้าน Health Tech และ Wearable Technology ในการส่งเสริมการออกกำลังกายเพื่อเป็นการสร้างวินัย และปรับพฤติกรรมผู้ใช้บริการในระยะยาว รวมทั้งผู้ที่กำลังเริ่มต้นออกกำลังกายให้มีแรงผลักดันในการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพมากยิ่งขึ้น

ประกันภัยไทยวิวัฒน์ ผู้นำด้าน  นวัตกรรมประกันภัยเจาะเทรนด์สุขภาพปี 2018 เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ประกันภัยสุขภาพ “ไทยวิวัฒน์ แอคทีฟ เฮลท์” เพื่อสนับสนุนคนไทยให้แอคทีฟ ยิ่งออกกำลังกาย เบี้ยยิ่งลดสูงสุดถึง 40% ทุกเดือน เนื่องจากประกันสุขภาพที่ บริษัทประกันภัยไทยวิวัฒน์ เปิดตัว จ่ายเป็นรายเดือน มีสัญญา ปีต่อปี

เพียงทำประกันตามเงื่อนไขก็สามารถรับ อุปกรณ์ Fitbit Versa อุปกรณ์ smart watch รุ่นใหม่ล่าสุด มูลค่า 8,500 บาทให้ฟรี เพียงใช้เทคโนโลยี IoT ร่วมกับ Smart Watch และแอปพลิเคชัน Thaivivat Health ช่วย Trackข้อมูลการออกกำลังกาย พร้อมเปิดตัวหนังโฆษณา THAIVIVAT ACTIVE HEALTH และดึงพันธมิตร JOOX, Grab food, Fitbit รวมถึงสถาบันการออกกำลังกายและศูนย์ Fitness ต่างๆ ร่วมมอบสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ใช้บริการ

แผนประกันภัยสุขภาพไทยวิวัฒน์ แอคทีฟ เฮลท์ นอกจากจะเป็นแผนประกันที่ช่วยส่งเสริม และสร้างวินัยให้ผู้ใช้บริการใส่ใจสุขภาพแล้ว ยังเป็นแผนที่เพิ่มแรงผลักดันให้ผู้ใช้บริการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยการใช้เทคโนโลยี IoT ร่วมกับอุปกรณ์ Smart watch และนวัตกรรมด้าน Wearable Technology เข้ามาเป็นส่วนเสริมในการ Trackข้อมูลการออกกำลังกาย พร้อมกับแอปพลิเคชัน “Thaivivat Health” ที่ถูกออกแบบเพื่อใช้งานควบคู่กับประกันสุขภาพเพื่อบริการข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลด้านสุขภาพ ข้อมูลด้านการออกกำลังกายในแต่ละวัน ช่วยให้ผู้ใช้บริการวางแผนเรื่องสุขภาพได้ รวมถึงสร้างความตื่นตัวให้กับผู้ใช้บริการโดยการนำข้อมูลการออกกำลังกายทั้งหมดมาคิดคำนวณเป็นส่วนลดค่าเบี้ยประกันทุกเดือนได้สูงสุดถึง 40% เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้บริการเกิดพฤติกรรมการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

นอกจากจะเป็นประกันที่ช่วยสร้างแรงจูงใจในการดูแลสุขภาพ เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาวแล้ว ยังเป็นประกันสุขภาพที่พร้อมดูแลคนไทยแบบครบวงจรโดยให้ความคุ้มครองสูงสุด 1 ล้านบาท/ต่อปี   รักษาได้ทุกโรงพยาบาลในเครือโดยไม่ต้องสำรองจ่าย พร้อมกับค่าห้องผู้ป่วยในสูงสุดถึง 10,000 บาทต่อวัน คุ้มครองทั้ง IPD และ OPD โดย OPD สามารถเบิกได้ถึง 3,000 บาทต่อครั้ง สูงสุดถึง 30 ครั้งต่อปี ที่สำคัญยังคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากการเล่นหรือแข่งขันกีฬาอันตราย โดยสามารถใช้ควบคู่กับสวัสดิการอื่นๆได้ รวมถึงคุ้มครองค่ารักษา จากอุบัติเหตุได้ทั่วโลก

ส่วนของสิทธิประโยชน์ด้านความคุ้มครองนั้น นอกจากจะเป็นประกันที่ช่วยสร้างแรงจูงใจในการดูแลสุขภาพ เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาวแล้ว ยังเป็นประกันสุขภาพที่พร้อมดูแลคนไทยแบบครบวงจรโดยให้ความคุ้มครองสูงสุด 1 ล้านบาทต่อปี รักษาได้ทุกโรงพยาบาลในเครือโดยไม่ต้องสำรองจ่าย พร้อมกับค่าห้องผู้ป่วยในสูงสุดถึง 10,000 บาทต่อวัน คุ้มครองทั้ง IPD และ OPD โดย OPD สามารถเบิกได้ถึง 3,000 บาทต่อครั้ง สูงสุดถึง 30 ครั้งต่อปี ที่สำคัญยังคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากการเล่นหรือแข่งขันกีฬาอันตราย โดยสามารถใช้ควบคู่กับสวัสดิการอื่นๆได้ รวมถึงคุ้มครองค่ารักษา จากอุบัติเหตุได้ทั่วโลก

นายเทพพันธ์ อัศวะธนกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สำหรับทิศทางการตลาดของประกันภัยสุขภาพในปี 2561 นั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ส่วนหนึ่งเป็นไปตามนโยบายภาครัฐที่ให้การสนับสนุนด้วยมาตรการลดหย่อนภาษี ทำให้หลายบริษัทตื่นตัว เร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ หาจุดขายที่หลากหลาย เพื่อนำเสนอให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ประกันสุขภาพไทยวิวัฒน์ แอคทีฟ เฮลล์ จึงถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีอิสระในการเลือกใช้บริการและมีความต้องการทั้งสิทธิประโยชน์ด้านความคุ้มครองและความคุ้มค่า เพราะนอกจากจะสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้แล้ว ยังมีอิสระในการกำหนดส่วนลดค่าเบี้ยได้ด้วยตัวเอง ยิ่งออกกำลังกายได้ตามเป้าหมาย เบี้ยประกันยิ่งลดสูงสุดถึง 40% โดยค่าเบี้ย เริ่มต้นเพียง 2,500 บาทต่อเดือน แต่หากออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและได้คะแนนตามเป้า จะสามารถลดค่าเบี้ย โดยจ่ายเบี้ยต่ำสุดเพียง 1,700 บาทต่อเดือนโดยประมาณ พร้อมรับอุปกรณ์ Fitbit Versa อุปกรณ์ smart watch รุ่นใหม่ล่าสุด มูลค่า 8,500 บาท ทันทีที่ทำประกันภัย

พร้อมกันนี้ ยังเปิดตัวหนังโฆษณา ไทยวิวัฒน์ แอคทีฟ เฮลท์ ภายในงานที่สื่อให้เห็นถึง  ความทุ่มเทและความแอคทีฟของคนไทย  ที่ถึงแม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยจากหน้าที่หลัก แต่ก็ไม่เคยละทิ้งสุขภาพ ยังคงดูแลสุขภาพตนเองอย่างสม่ำเสมอ ประกันภัยไทยวิวัฒน์ในฐานะผู้พัฒนาด้านนวัตกรรมประกันภัยมาอย่างต่อเนื่อง จึงขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจที่สนับสนุนให้คนไทยใส่ใจสุขภาพ พร้อมดูแลแบบครบวงจร ด้วยประกันภัยสุขภาพไทยวิวัฒน์ แอคทีฟ เฮลท์ ประกันอัดฉีด คน Active

สนใจรายละเอียดศึกษาข้อมูลก่อนทำประกันได้ที่
www.thaivivat.co.th
Facebook Fanpage ประกันภัยไทยวิวัฒน์
สอบถาม โทร. 02-200-7111

กลุ่มรถคลาสสิคเชียร์บอลโลกที่ทัชดาวน์ สปอร์ต บาร์

โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ แอร์พอร์ต

คุณสยาม เศรษฐบุตร ประธานบริหาร เมอร์เซเดส เบนส์ คลับ (ประเทศไทย) เเละ คริสติน่า เศรษฐบุตร ภรรยาสาวไฮโซชื่อดัง และกลุ่มรถคลาสสิค “Classic Car” การลงทุนที่สร้างมูลค่าแถมยังได้ความสุขทางใจ ให้เกียรติมาร่วมเชียร์ศึกฟุตบอลโลก 2018 ทัชดาวน์ สปอร์ตบาร์ โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ แอร์พอร์ต แห่งแรกและแห่งเดียวในบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ ชมการแข่งขันอย่างเต็มอรรถรสด้วยจอแอลอีดีขนาดใหญ่กว้างถึง 165 นิ้ว และอีก 7 จอทีวีให้ได้เลือกรับชมพร้อมโปรโมชั่น

นอกจากนี้ ยังมีเกมมันส์ๆ ให้คุณได้สนุกกัน ที่ทัชดาวน์ สปอร์ตบาร์ โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ แล้วพบกัน!

สยาม เศรษฐบุตร (นั่งที่ 3 จากขวา) ประธานเมอร์เซเดส-เบนซ์คลับ (ประเทศไทย) นำกลุ่มรถคลาสสิคร่วมพบปะสังสรรค์และรับชมฟุตบอลโลกที่ทัชดาวน์ สปอร์ตบาร์ โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ แอร์พอร์ต

เมื่อเร็วๆนี้ สยาม เศรษฐบุตร  ประธานเมอร์เซเดส-เบนซ์คลับ (ประเทศไทย) นำกลุ่มรถคลาสสิคร่วมพบปะสังสรรค์  และรับชมฟุตบอลโลกที่ทัชดาวน์ สปอร์ตบาร์ โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ แอร์พอร์ต โดยได้รับเกียรติจาก
เปรมิกา พาเมล่า มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2017 และรองทั้ง 3 อันดับร่วมงาน โดยมี นฤมล  เฑียรฆโรจนกุล ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด  ของโรงแรมให้การต้อนรับ

เปรมิกา พาเมล่า (ยืนที่ 5 จากขวา) มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2017 และรองทั้ง 3 อันดับร่วมงาน โดยมีนฤมลเฑียรฆโรจนกุล (ยืนที่ 3 จากซ้าย)

ภายในงานได้จัดให้มีการจำหน่ายของที่ระลึกและรับบริจาค เพื่อจะนำเงินบริจาคที่มิได้หักค่าใช้จ่ายดังกล่าว  ไปมอบให้กับ  มูลนิธิเด็กโสสะแห่งประเทศไทย

จากซ้ายไปขวา:เปรมิกา พาเมล่า – มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2017, ทวีพร พริ้งจำรัส – รองอันดับ 3 มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2017, กมลรัตน์ ทานนท์ – รองอันดับ 4 มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2017และศรุชา นิลจันทร์ – รองอันดับ 2 มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2017

 

โตชิบา ไทยแลนด์ รุกหนักครึ่งปีหลัง 2018

เปิดตัวสินค้าใหม่ 34 รุ่น หวังรายได้โต 2 ดิจิต

นายโตชิโระ อิชิวาตาริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โตชิบา ไลฟ์สไตล์ โปรดักส์ แอนด์ เซอร์วิส คอร์ปอเรชัน (TLSC) ประเทศญี่ปุ่น ร่วมด้วยนายไบรอัน จ้าว ประธาน บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด พร้อมคณะผู้บริหาร ร่วมแถลงข่าว “A New Chapter Beyond All Limits ” เปิดตัวสินค้าใหม่ พร้อม
ชูนโยบายและแผนการตลาดเชิงรุกในครึ่งปีหลัง

นายโตชิโระ  อิชิวาตาริ  ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โตชิบา ไลฟ์สไตล์ โปรดักส์ แอนด์ เซอร์วิส คอร์ปอเรชัน (TLSC) ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า…

โตชิบา ไม่เคยหยุดนิ่งที่จะสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ดี ภายใต้มาตรฐานการดีไซน์และการผลิตจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค โดยมุ่งเน้น ด้านคุณภาพชีวิต และไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค  จากการรวมกัน ของ TLSC และ Midea Group เรามุ่งเน้นการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อรองรับกับความต้องการของตลาดโลก (Global Market) มากยิ่งขึ้น ขยายกลุ่มสินค้าให้หลากหลาย

นอกจากนี้ นายโตชิโระ  อิชิวาตาริ   ยังกล่าวตอกย้ำว่า TLSC   ยังยืนยันเจตนารมณ์เดิมที่จะลงทุนในประเทศไทย ทั้งในแง่เป็นฐานการผลิต การพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมไปถึงการขายและการทำตลาด และโตชิบาจะยังคงเติบโต ยั่งยืน และก้าวไปด้วยกันกับคนไทย เรามุ่งเน้นและให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดี มีคุณภาพตามมาตรฐานญี่ปุ่น และคำนึงถึง
ไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก  เพื่อนำสิ่งที่ดีสู่ชีวิตคน
ไทย ตามสโลแกนโตชิบา

นายไบรอัน จ้าว ประธาน บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด

นายไบรอัน จ้าว ประธาน บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับตลาดในประเทศไทย ภาพรวมเศรษฐกิจ ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน อยู่ในช่วงฟื้นตัว และมีแนวโน้มดีขึ้น  โดยคาดว่าปีนี้จะเติบโตสูงถึง 4.1%   ซึ่งถือว่าเติบโตสูงสุดตั้งแต่ปี 2555 ส่วนค่า GDP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ก็เพิ่มสูงขึ้นถึง 4.8% ซึ่งตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ถึงแนวโน้มในเชิงบวกว่าธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านจะดีขึ้น

สำหรับไตรมาสแรก  ของปี 2561 ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน  ยังคงทรงตัวที่อัตราการเติบโต 0.2% เนื่องจากสภาพอากาศ ส่งผลกระทบต่อยอดขายกลุ่มเครื่องปรับอากาศ มีผลติดลบ 9% อย่างไรก็ตาม เครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็ก ยังมีการเติบโตสูงขึ้นถึง 7% ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นว่าอนาคตจะเป็นไปในเชิงบวก

สำหรับผลประกอบการของโตชิบาในครึ่งปีแรก ภาพรวมยอดขายโตชิบา โตขึ้นถึงกว่า 20% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้วในช่วงเวลาเดียวกัน ในส่วนของการเปิดตัวสินค้าใหม่ในช่วงครึ่งปีแรก โตชิบาเผยโฉมสินค้าใหม่มากถึง 8 หมวดหมู่ รวม 32 รุ่น ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาร่วมกันระหว่างโตชิบาและไมเดีย และจากการลอนช์สินค้าดังกล่าว  จึงเป็นที่มาของยอดขายที่เติบโตสูงขึ้น

นายฮิโรยูกิ ทากาเสะ ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและทีวี

สำหรับแผนการตลาดครึ่งปีหลัง โตชิบายังคงใช้ความได้เปรียบจากการรวมกันของ 3 ประเทศ ได้แก่สินค้าคุณภาพมาตรฐานญี่ปุ่น ความรวดเร็วในการผลิตและการพัฒนาจากประเทศจีน และประสบการณ์  การทำตลาดอันยาวนานจากประเทศไทย เปิดตัวคอนเซปต์ A New Chapter Beyond All Limits เพื่อตอกย้ำ โตชิบายุคใหม่ ที่จะก้าวทะยานไปข้างหน้าอย่างไร้ขีดจำกัด โดยคาดหวังจะเป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้า Top 3 ในประเทศไทย ภายใน 3 ปี และต้องเติบโตอย่างน้อย 2 ดิจิตขึ้นไป เราวางแผนที่จะขยายธุรกิจของเราให้เติบโตยิ่งขึ้น จากการที่มีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพิ่มมากมาย โดยในครึ่งปีหลัง แผนเปิดตัวสินค้าใหม่เพิ่มอีก 8 หมวดหมู่ 34 รุ่น

นายฮิโรยูกิ ทากาเสะ ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและทีวี กล่าวเสริมว่าจากข้อมูลเดือนมกราคมถึงเมษายน 2561 ที่ผ่านมา มูลค่าการตลาดสินค้ากลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศไทย เติบโตขึ้น 0.2% โดยสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้นเยอะได้แก่กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก (SDA – Small Domestic Appliances) ซึ่งมีสัดส่วนการตลาด 31% ในขณะที่เครื่องปรับอากาศ 32% ตู้เย็น 19% และเครื่องซักผ้า 18% ส่วนการเติบโตสินค้ากลุ่มความเย็นและกลุ่มซักผ้า เติบโต 4% ในขณะที่เครื่องปรับอากาศ ติดลบ 9% ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก เติบโตสูงถึง 7.1% โดยเครื่องทำน้ำอุ่นโตถึง 31% และไมโครเวฟ 15%

ส่วนผลประกอบการของโตชิบาในครึ่งปีแรก ยอดขายโตชิบาโตถึงกว่า 20% โดยมาจากตู้เย็น เครื่องซักผ้า ไมโครเวฟ และเครื่องทำน้ำอุ่นที่เติบโตถึง 38%, 35%, 189% และ 146% ตามลำดับ ส่วนเครื่องปรับอากาศ เติบโตเพียง 1%

ส่วนแผนการตลาดครึ่งปีหลัง บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวสินค้าใหม่อีก 34 รุ่น ทั้งกลุ่มตู้เย็น เครื่องซักผ้า หม้อหุงข้าว เครื่องปั่นน้ำผลไม้ และเครื่องทำน้ำอุ่น เพื่อมาเติมเต็มช่องว่างของสินค้าที่โตชิบาขาดหายไป และถือเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้หลากหลายและครบถ้วนยิ่งขึ้น

นายบุนยรัตน์ ไตรสิริสมบัติ ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายการตลาด กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน

นายบุนยรัตน์ ไตรสิริสมบัติ ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายการตลาด กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน กล่าวเสริมว่า ในครึ่งปีหลังนี้ โตชิบาจะเปิดตัวสินค้ามากมาย โดยเฉพาะตู้เย็นและเครื่องซักผ้า ที่จะมาขยาย Market Share ของโตชิบาให้กว้างขึ้น ทั้งตลาดพรีเมียมและตลาดแมส สำหรับสินค้ากลุ่มตู้เย็น โตชิบาเป็นที่ 1 ในเรื่องตู้เย็นประตูเดียวมาตลอดหลายปีต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีตู้เย็น 2 ประตู และตู้เย็นมินิบาร์ แต่ในปีนี้ เราจะมาครบไลน์อัพ เติมเต็มช่องว่างเค้กก้อนใหญ่ในส่วนของตู้เย็นมัลติดอร์ (Multi Doors) และตู้เย็นไซด์บายไซด์ (Side By Side) ที่มีมูลค่าการตลาดถึงหนึ่งพันล้านบาท โดยมีแผนออกสินค้าในไตรมาส 4 ส่วนในไตรมาส 3 เราส่งตู้เย็น 1 ประตูรุ่นใหม่ FIT ที่ปรับโฉมใหม่ เพื่อยังคงรักษาความเป็นผู้นำเบอร์ 1 ในตู้เย็น 1 ประตู ด้วยส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดเกือบ 30%

ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โตชิบาจะใส่ใจเรื่องความต้องการของลูกค้า รวมถึงดูเทรนด์ผู้บริโภคเป็นหลัก เฉกเช่นการพัฒนาตู้เย็น ที่ผู้หญิงทำงานนอกบ้านมากขึ้น เวลามีจำกัด ดังนั้นการซื้อของกินของใช้ในแต่ละครั้งจึงมาก และเมื่อต้องเก็บมาก เราจึงออกแบบตู้เย็นให้ใหญ่ขึ้น รวมถึงต้องเก็บรักษาความสดได้ยาวนาน และต้องออกแบบตู้เย็นให้จัดสรรของกินแต่ละประเภทให้อยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม จึงเป็นที่มาของการเกิดตู้เย็นไซด์บายไซด์ และมัลติดอร์

ตู้เย็นมัลติดอร์ โดดเด่นด้วย 3 Cycle Real Inverter มาพร้อมระบบทำความเย็น 3 Cooling กระจายความเย็นได้ทั่วถึง และระบบการกำจัดกลิ่นชั้นยอด นอกจากนี้ยังแบ่งช่องต่างๆ ในตู้เย็นได้มากถึง 26 ช่อง เพื่อให้คุณเลือกแช่ได้ตามใจ

ส่วนตลาดเครื่องซักผ้า เราตั้งเป้าเติบโต 50% โดยขยายไลน์อัพเพิ่ม ด้วยการเปิดตัวเครื่องซักผ้า 2 ถังสำหรับจับตลาดกลางถึงล่าง และเพิ่มเครื่องซักผ้าฝาหน้า และ 2 in 1 เครื่องซักอบผ้าฝาหน้า เพื่อจับกลุ่มคอนโด และตลาดกลางถึงบน ซึ่งใน 2 ตลาดดังกล่าว มีมูลค่าการตลาดสูงถึง 6,000 ล้านบาท ซึ่งจะมาช่วยเติมเต็มมาร์เก็ตแชร์ของกลุ่มเครื่องซักผ้าของโตชิบามากขึ้น

ในไตรมาส 3 นี้ โตชิบามีแผนเปิดตัวเครื่องซักผ้า 2 ถัง ซึ่งมาด้วยดีไซน์ที่สวยหรู ตัวถังกันสนิม พร้อมจุดเด่นท่อเติมน้ำแบบคู่ ที่ทำให้การซักและการปั่นสะดวก สะอาดยิ่งขึ้น มีให้เลือกมากถึง 4 ความจุ คือ 7.5 กก. 8.5 กก. 11 กก. และ 13 กก. เพื่อเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย

สำหรับเครื่องซักผ้าฝาหน้า หรือ Front Load จะมาด้วยเทคโนโลยี Great Wave ที่ช่วยให้ผ้าสะอาดโดยไม่ต้องใช้น้ำร้อน จึงทำให้ประหยัดไฟ ประหยัดเวลา รวมถึงช่วยปกป้องสีสันของเสื้อผ้าให้อยู่ยาวนานยิ่งขึ้น มาพร้อม 3 ความจุให้เลือก คือ 7.5 กก. 8.5 กก. และ 9.5 กก.

ส่วนตัวไฮไลท์ เป็นเครื่องซักอบฝาหน้า ที่มีความจุทั้งซักและอบที่เท่ากัน เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น ซึ่งมีให้เลือก 2 ความจุ คือ 10/10 กก. และ 8/8 กก. ซึ่งแพลนวางขายในไตรมาส 4

นายชาตรี พลสอนดา ผู้จัดการฝ่ายการตลาด กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก กล่าวว่า ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก เป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูง เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีราคาไม่สูงมาก มีความต้องการใช้ต่อเนื่อง และด้วยความที่สินค้ามีหลากหลาย จึงตอบสนองความต้องการผู้บริโภคได้แตกต่างกัน สำหรับแบรนด์โตชิบา เราตั้งเป้าขึ้นเป็น Top 3 ในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กภายใน 3 ปี โดยในครึ่งปีแรก เห็นผลชัดเจนว่าเราเติบโตมากในกลุ่มสินค้ากลุ่มไมโครเวฟ ซึ่งโตขึ้นถึง 189% จากการที่เราเปิดตัวไมโครเวฟใหม่ 7 รุ่นเมื่อต้นปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีเครื่องทำน้ำอุ่น ซึ่งโตขึ้นถึง 146% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ทำให้ใน ไตรมาสที่ 3 นี้ เราแพลนออกเครื่องทำน้ำอุ่นใหม่อีก 8 รุ่น เพื่อเตรียมรับหน้าหนาวที่จะมาถึงในปลายปีนี้ สำหรับตลาดหม้อหุงข้าว เราตั้งใจขยายตลาดระดับกลางถึงล่าง โดยส่งหม้อหุงข้าวประเภท Jar Type หรือหม้ออุ่นทิพย์ดีไซน์ใหม่ สดใส และทันสมัยกว่าเดิม มีให้เลือก 2 ความจุ 5 รุ่น 3 ดีไซน์ มากไปกว่านั้น โตชิบากำลังขยายไลน์สินค้ากลุ่มเครื่องปั่นน้ำผลไม้เพิ่ม ซึ่งเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูงเช่นกัน เพราะเมืองไทยเป็นเมืองร้อน และคนใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น เครื่องปั่นน้ำผลไม้ของโตชิบา มาด้วยเทคโนโลยี Off Center ที่ช่วยให้น้ำผลไม้ปั่นละเอียดยิ่งขึ้น

นางสาวธัญปภัสส์ อริยะวรวัฒน์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด กล่าวเสริมว่า นอกจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อตลาดแล้ว ยังต้องคำนึงถึงปัจจัยโดยตรงจากกลุ่มผู้บริโภคด้วย อย่างแนวโน้มหรือเทรนด์ เรื่องความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ซึ่งแนวโน้มดังกล่าว จะส่งผลต่อการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ทั้งในเรื่องความสะดวกสบาย คุณภาพและเทคโนโลยี ดีไซน์ของสินค้า ที่อาจนับได้ว่าเป็นเฟอร์นิเจอร์ในบ้าน รวมถึงการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ อย่างเรื่องการประหยัดเวลา นอกจากนี้ ปัจจัยอื่นๆ ยังรวมถึงการรักษ์โลก ประหยัดพลังงาน และการรักสุขภาพ ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของโตชิบา จึงถูกออกแบบมา โดยคำนึงถึงผู้บริโภคเป็นปัจจัยหลัก เพื่อให้แน่ใจว่า เราจะ “นำสิ่งที่ดี มาสู่ชีวิต” ให้กับผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่อง

สำหรับกิจกรรมการตลาดในครึ่งปีแรก อัตราส่วนการลงทุน จะมุ่งเน้นที่ การสร้างแบรนด์ สร้างภาพลักษณ์ และการจดจำต่อสาธารณชน ซึ่งรวมไปถึง ณ จุดขาย การส่งเสริมการขาย เพื่อกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยมากยิ่งขึ้น และนอกจากการลงทุนข้างต้นแล้ว ทางบริษัทยังให้ความสำคัญกับ พนักงานขาย อีกด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์จะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคได้มากที่สุด นอกเหนือจากการจัดจำหน่าย สินค้า ที่มีคุณภาพ หลากหลาย และแข่งขันได้

ส่วนแผนการตลาดครึ่งปีหลัง เน้นเรื่อง 4P ได้แก่ สินค้า อย่างเรื่องการเพิ่มไลน์สินค้า การอัพเกรดสินค้าให้มีคุณภาพและทันสมัยยิ่งขึ้น รวมไปถึง การขยายช่องทางการขาย ช่องทางการจัดจำหน่าย ให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่ายขึ้น รวมถึงแพลนปรับโฉมร้านค้าให้ดูทันสมัย และสวยงามยิ่งขึ้น แผนการสื่อสารและการตลาดงบกว่า 12% เพื่อการลงทุนด้านโฆษณาและส่งเสริมการขาย ทั้ง Above the line และ Below the line เพื่อสร้างการรับรู้ และความเชื่อมั่นในตราสินค้า ทั้งนี้ ภาพรวมการตลาดจะผ่านการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ โดยเฉพาะ Online & Social Media เป็นหลัก โดยเน้นเรื่อง Digital Marketing, Localized Marketing รวมไปถึงการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายให้เหมาะกับกลุ่มสินค้า ฤดูกาล และพื้นที่การขาย โดยจะมีแคมเปญออกมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ แคมเปญรับหน้าฝน แคมเปญฉลองวันเกิด แคมเปญรับปีใหม่ หรือแม้แต่การทำ Road Show และ Work Shop ไปยังกลุ่มเป้าหมายต่างๆ เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้สินค้า และสุดท้าย เรายังคงให้ความสำคัญกับ พนักงานขาย ที่ไม่ได้ต้องการให้เป็นตัวแทนขายสินค้า แต่เขาคือที่ปรึกษาส่วนตัว (Personal Consultant) เราจึงมีแผนพัฒนาบุคลากรให้ความรู้และฝึกอบรมทั้งในส่วนการขาย การสร้างประสบการณ์การใช้งาน การเป็นเลขาส่วนตัว รวมถึงการให้คำแนะนำหลังการขายอีกด้วย

นางกนิษฐ เมืองกระจ่าง ประธานกรรมการบริหารบริษัท

นางกนิษฐ เมืองกระจ่าง ประธานกรรมการบริหารบริษัท กล่าวเสริมว่า นอกจากบริษัทฯ จะเตรียมพร้อมสำหรับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ และแผนการตลาดต่างๆ ตามที่กล่าวข้างต้นแล้ว บริษัทฯ ยังได้มีแผนการพัฒนาระบบสารสนเทศ ระบบงานบริการหลังการขาย ระบบการบริหารทรัพยากรบุคคล และระบบต่างๆ เพื่อเตรียมรองรับการเติบโตในอนาคต นอกจากนี้ขอให้เชื่อมั่นในโตชิบา เรายังคงเป็นแบรนด์ที่ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

นางกนิษฐ  กล่าวเสริมว่า ในฐานะผู้ถือหุ้นคนไทย เรายังเชื่อมั่นในโตชิบา และในการรวมพลังของเรา 3 ประเทศ จะนำไปสู่การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ดี ที่รวดเร็ว และเติบโตอย่างยั่งยืน และที่สำคัญ เรายังคงมุ่งเน้นนโยบายด้านส่งเสริมกิจกรรมที่ดีเพื่อสังคม (CSR – Corporate Social Responsibility) เช่นที่ผ่านมา โตชิบาจะต้องเป็นตัวอย่างของบริษัทที่มีธรรมาภิบาลของสังคมไทย เป็นบริษัทที่ไม่ได้เน้นเพียงเรื่องการขายและการบริการเท่านั้น แต่ต้องเป็นบริษัทที่รับผิดชอบต่อท่านผู้แทนจำหน่าย ต่อสังคม ต่อคนรุ่นต่อไป ต่อประเทศชาติที่รักของพวกเราทุกคน และจะ “มุ่งมั่น …นำสิ่งที่ดีสู่ชีวิต”