เกษตรอินทรีย์วิถีไทย

จังหวัดนครปฐม และ 18 จังหวัดภาคกลาง
จัดยิ่งใหญ่ งาน   มหกรรมเกษตรอินทรีย์
วิถีไทย 2561  ครั้งที่ 1

​จังหวัดนครปฐมร่วมกับ 18 จังหวัดภาคกลาง จัดงาน “มหกรรมเกษตรอินทรีย์ วิถีไทย 2561” ครั้งที่ 1 โดยมีพิธีเปิดงานวันที่ 3 สิงหาคม 2561 โดย นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ ลาน Exhibition Hall โซน C ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ



นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ ปี 2561 และยังกำหนดให้เกษตรอินทรีย์เป็นนโยบายเร่งด่วนที่ต้องการ ให้ทุกหน่วยงานร่วมดำเนินการขับเคลื่อนภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. 2560 ถึง 2564

เพื่อให้มีการบูรณาการกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมทั้งกระบวนการผลิตรวมถึงการสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือกับทุกภาคีเครือข่ายเพื่อขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์ให้ขยายตัวในเชิงพื้นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ผู้บริโภคในประเทศสามารถเข้าถึงสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้ง่ายขึ้น

​การจัดงาน “มหกรรมเกษตรอินทรีย์ วิถีไทย 2561” ครั้งที่ 1 ถือเป็นการจัดงาน ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และนโยบายของกระทรวงการเกษตรและสหกรณ์ ในด้านของการรวบรวมผลผลิตเกษตรอินทรีย์ และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเกษตรอินทรีย์ อาหารอินทรีย์ และท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวกับอินทรีย์ ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานอินทรีย์ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งอยู่ในขั้นเตรียมความพร้อมสู่เกษตรอินทรีย์ของเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร และผู้ประกอบการ จาก 19 จังหวัดในภาคกลาง มาจัดแสดงและให้บริการ เพื่อเป็นการส่งเสริมและเพิ่มช่องตลาดให้กับเกษตรกรและผู้ประกอบ ได้มีช่องทางจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ พร้อมทั้ง เป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่จะได้บริโภคอาหารที่ปลอดจากสารเคมีทางหนึ่ง

​นอกจากนี้ ยังมีการถ่ายทอดความรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่เกี่ยวกับการทำเกษตรอินทรีย์ จากเกษตรกรผู้เชี่ยวชาญ นิทรรศการให้ความรู้ และคลินิกให้คำปรึกษาเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร และผู้ที่สนใจ ทั้งทางตรงและทางอ้อม อันจะส่งผลให้ประเทศไทยเกิดการรับรู้และสร้างความเข้าใจในการทำเกษตรอินทรีย์เพิ่มยิ่งขึ้น

​นายชาญนะ เอี่ยมแสง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม กล่าวว่า ด้วยจังหวัดในกลุ่มภาคกลาง 19 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดชัยนาท จังหวัดนครนายก จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดราชบุรี จังหวัดลพบุรี จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดสระแก้ว จังหวัดสระบุรี จังหวัดสิงห์บุรี จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดอ่างทอง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดนครปฐม ได้รับงบประมาณจากยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคกลางให้จังหวัดนครปฐมดำเนินการจัดงาน เพื่อกระตุ้นให้ภาคกลางพัฒนาสู่ภูมิภาคที่มีอาหารและสินค้าเกษตรให้ทันสมัย เพื่อเป็นฐานการผลิตที่ได้มาตรฐานโลก และเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารของประเทศและสนับสนุนยุทธศาสตร์ การพัฒนาเกษตรอินทรีย์ของประเทศให้บรรลุเป้าหมายในการเพิ่มพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืน 5 ล้านไร่ ภายในปี 2564 จึงได้จัดงานมหกรรมเกษตรอินทรีย์วิถีไทย 2561 ครั้งที่ 1 โดยนำผลผลิตเกษตรอินทรีย์และบริการอินทรีย์จากเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร และผู้ประกอบการ จาก 19 จังหวัดภาคกลาง มาจัดแสดงและจำหน่าย โดยแบ่งเป็น 4 โซน ได้แก่ 1) โซนมาตรฐานอินทรีย์ 2) โซนเตรียมความพร้อมสู่เกษตรอินทรีย์ 3) โซนท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวข้องกับอินทรีย์ และ 4)โซนร้านอาหารอินทรีย์

 

​นอกจากนี้ยังจะได้เพลิดเพลินกับการแสดงศิลปะพื้นบ้านสุดตระการตา การเสวนาของผู้รู้ด้านเกษตรอินทรีย์ การสาธิตการทำอาหารอินทรีย์ รวมทั้งซื้อสินค้านาทีทอง ในส่วนของนิทรรศการให้ความรู้นั้น มีทั้งส่วนที่เป็นนิทรรศการมีชีวิตแสดงถึงผลสำเร็จของการส่งเสริมให้เกษตรกรทำการเกษตรแบบอินทรีย์ ตั้งแต่ต้นทาง กลางทางและปลายทาง ขณะเดียวกันยังมีส่วนบริการข้อมูลเกษตรอินทรีย์ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ข้อมูลผลิตภัณฑ์ด้านเกษตรอินทรีย์ และข้อมูลผู้ประกอบการที่เกี่ยวกับอินทรีย์ โซนให้ความรู้และคลินิกเกษตร ซึ่งจะคอยให้คำปรึกษา แนะนำ และความรู้ที่จำเป็นเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์จากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง หากเกษตรกรหรือผู้ที่สนใจท่านใดมีปัญหาด้านการเกษตร สามารถปรึกษาที่โซนคลินิกเกษตรภายในงานได้

​สำหรับงาน “มหกรรมเกษตรอินทรีย์ วิถีไทย 2561” ครั้งที่ 1
ระหว่างวันที่ 3 – 5 สิงหาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 10.00 -20.00 น
ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ

สมุทรสาครเตรียมจัดงานยิ่งใหญ่ “สมุทรสาคร ออน เดอะ โชว์”

โชว์ศักยภาพเมืองประมง อุตสาหกรรม เกษตร ท่องเที่ยว ใจกลาง กทม.

จังหวัดสมุทรสาคร เตรียมจัดงานยิ่งใหญ่   “สมุทรสาคร ออน เดอะ โชว์” (SAMUTSAKHON ON THE SHOW) โชว์ภาพลักษณ์เมืองประมง แหล่งท่องเที่ยว  ที่เพียบพร้อมด้วยศักยภาพอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม พร้อมรวบรวมผู้ประกอบการที่มีคุณภาพ สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ วัฒนธรรมประเพณีพื้นบ้าน  รวมทั้งอาหารและของดีประจำจังหวัด มานำเสนอ

จังหวัดสมุทรสาครเป็นเมืองเศรษฐกิจที่มีศักยภาพทั้งทางด้านอุตสาหกรรม การประมง และการเกษตรกรรม จากข้อมูลสถิติผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พบว่าสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของจังหวัดสมุทรสาครยังคงขยายตัวจากปีก่อน และยังเป็น ๑ ใน ๑๐ ของจังหวัดที่มีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดต่อหัวอยู่ในระดับสูงตลอดมา

สมุทรสาคร ออน เดอะ โชว์  SAMUTSAKHON ON THE SHOW  ในด้านของการท่องเที่ยว จังหวัดสมุทรสาครมีป่าชายเลนที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีความหลากหลายทางชีวภาพ เหมาะกับการเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศหรือแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติ

นอกจากนี้ ยังเป็นเมืองที่บันทึกในประวัติศาสตร์เรื่องราวของพันท้ายนรสิงห์ผู้ซื่อสัตย์ จงรักภักดี และป้อมวิเชียรโชฎก ซึ่งสร้างในสมัยรัชกาลที่ ๓ เพื่อป้องกันข้าศึกทางทะเลเหมาะแก่การเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์

นอกจากนี้ สมุทรสาครยังมีทั้งสถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ประวัติศาสตร์ ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนสินค้า OTOP เครื่องปั้นดินเผา ไม้ดอกไม้ประดับ และไม้ผล สำหรับในด้านตัวเลข ในปี ๒๕๕๙ มีนักท่องเที่ยวมาเยือนจังหวัดสมุทรสาครทั้งไทยและต่างชาติรวมทั้งสิ้น ๑,๔๔๓,๗๔๖ คน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ๒.๓๘% และมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวมทั้งสิ้น ๒,๓๐๕ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ๕.๘๙%

ในด้านของสินค้า OTOP จังหวัดสมุทรสาคร มีผลิตภัณฑ์ OTOP จำนวน ๒๖๘ ราย รวม ๕๓๒ ผลิตภัณฑ์ ซึ่งผลิตภัณฑ์เด่นของจังหวัดก็คือ เครื่องเบญจรงค์ จังหวัดสมุทรสาครมีรายได้จากผลิตภัณฑ์ OTOP ในปี ๒๕๖๐ รวมทั้งสิ้น ๓,๒๗๔ ล้านบาท ซึ่งเฉพาะเครื่องเบญจรงค์อย่างเดียวก็ทำรายได้ถึง ๑๐๘ ล้านบาท

จังหวัดสมุทรสาครจึงร่วมกับภาคเอกชนเตรียมจัดงาน “สมุทรสาคร ออน เดอะ โชว์” (SAMUTSAKHON ON THE SHOW) ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๑ ณ ลานกิจกรรมสแควร์โซน C ด้านหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และบริเวณชั้น ๓ โซน Atrium  ซึ่งเป็นงานมหกรรมที่นำเสนอของดีจังหวัดสมุทรสาคร ให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติได้สัมผัส ณ กลางใจเมือง ในรูปแบบทันสมัยและแปลกใหม่ที่ผู้เข้าชมงานจะต้องอัศจรรย์ใจ

โดยภายในงานจะนำเสนอศักยภาพด้านอุตสาหกรรมประมงและอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่โดดเด่นของสมุทรสาคร จำหน่ายผลิตภัณฑ์เด่น ที่คัดเลือกมาแล้วว่าเป็นของที่ขึ้นชื่อภายในจังหวัด รวมกันไว้ในที่เดียว มีให้ชม ชิม ช้อปกันตามอัธยาศัย นำเสนอสถานที่ท่องเที่ยวและเส้นทางท่องเที่ยว ที่แบ่งตามความสนใจของกลุ่มที่มีความชอบแตกต่างกัน เช่น เส้นทางท่องเที่ยววิถีชุมชน เส้นทางแสนอร่อยสำหรับนักชิม เส้นทางท่องเที่ยวเชิงเกษตร ฯลฯ มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย เช่น ท่าฉลอม ซึ่งยังคงไว้ด้วยมนต์เสน่ห์ของชุมชนดั้งเดิม และเป็นก้าวแรกของชุมชนจีนในสยาม หรือบ้านแพ้ว ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่ให้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลิน และยังจะได้ชมการประดิษฐ์งานฝีมือเบญจรงค์ที่ผสานไว้ทั้งศาสตร์และศิลป์อย่างลงตัว ในงานยังมีวัฒนธรรมประเพณีพื้นบ้านที่งดงาม รวมทั้งอาหารและของดีประจำจังหวัด มานำเสนอให้ได้ชมกัน

นายประภัสสร์ มาลากาญจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร  เปิดเผยว่า จังหวัดสมุทรสาครเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพเพียบพร้อม ทั้งในด้านอุตสาหกรรม การประมง เกษตรกรรม หัตถกรรม การท่องเที่ยว ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม สมดังคำขวัญของจังหวัดที่ว่า “เมืองประมง ดงโรงงาน ลานเกษตร เขตประวัติศาสตร์” นอกจากนี้ยังมีทำเลที่ตั้งที่ติดกับกรุงเทพมหานคร สะดวกง่ายดายต่อการเดินทาง และในแผนพัฒนาจังหวัด ปี ๒๕๖๑-๒๕๖๔ ได้กำหนดเป้าหมายในการพัฒนาเอาไว้ว่า “เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ เกษตรและอาหารปลอดภัย ท่องเที่ยวทางเลือกใหม่ สังคมเป็นสุข”

สมุทรสาคร ออน เดอะ โชว์ (SAMUTSAKHON ON THE SHOW)
โชว์ภาพลักษณ์เมืองประมง แหล่งท่องเที่ยวที่เพียบพร้อมด้วยศักยภาพอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม พร้อมรวบรวมผู้ประกอบการที่มีคุณภาพ
สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ วัฒนธรรมประเพณีพื้นบ้าน
รวมทั้งอาหารและของดีประจำจังหวัด มานำเสนอในงานระหว่างวันที่ ๒๐-๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๑

ณ ลานกิจกรรมสแควร์โซน C และบริเวณชั้น ๓ โซน Atrium ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพมหานคร

เรื่องราวจากพระราชนิพนธ์สู่ประติมากรรมเทียนหอมหนึ่งเดียวในโลก

ภายใต้คอนเซปต์  “พระมหาชนก”
ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา อุบลราชธานี

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา อุบลราชธานี ร่วมกับ จังหวัดอุบลราชธานี, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, เทศบาลนครอุบลราชธานี,  เทศบาลเมืองแจระแม และบ้านเทียนหอมเดชอุดม ขานรับนโยบาย

ร่วมสร้างสีสันและเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดอุบลราชธานี ตอกย้ำการเป็นเซ็นเตอร์อ็อฟไลฟ์ ศูนย์การกลางใช้ชีวิตของจังหวัด สืบสานประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษา จัดงาน Miracle of Candle มหัศจรรย์เทียนพรรษา จากพระราชนิพนธ์สู่ประติมากรรมเทียนหอมหนึ่งเดียวในโลก ภายใต้คอนเซปต์ “พระมหาชนก”

ภายในงานทุกท่านจะได้พบกับประติมากรรมเทียนหอม แกะสลักสุดวิจิตรตระการตา นำเสนอความงดงามของ เรื่องราวจากพระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนก ที่ได้แฝงข้อคิดคำสอนในการดำเนินชีวิตที่สามารถปรับเข้ากับทุกยุคทุกสมัย และเป็นต้นแบบของผู้มีความเพียรอย่างแท้จริงเปรียบเสมือนกับการทำเทียนพรรษาที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถ และความเพียรพยายามอย่างยิ่ง ประกอบด้วยพระมหาชนกขนาดเท่าคนจริง, นางมณีเมขลา ลอยสูงจากพื้นกว่า 5 เมตร, ปูยักษ์และปลายักษ์ในบรรยากาศท้องทะเลงามยามค่ำคืน

 

ผลงานการออกแบบปั้นและแกะสลักจากช่างฝีมือศิลปินรุ่นใหม่ที่มีความตั้งใจสืบทอดงานศิลป์ภูมิปัญญาของแผ่นดิน คุณชาลิดา พูลทรัพย์ (ครูอ้อย) ศิลปินจากกลุ่มผลิตภัณฑ์เทียนหอมเดชอุดม, คณะนักศึกษาแผนกวิจิตรศิลป์ วิทยาลัยอาชีวศึกษาอุบลราชธานี ซึ่งใช้เวลาในการสร้างสรรผลงาน ประมาณ 2 เดือน พร้อมชมนิทรรศการประวัติ ความเป็นมาของประเพณีแห่เทียนพรรษา และขั้นตอนการทำเทียน ประเพณีคู่บ้านคู่เมือง ของจังหวัดอุบลราชธานี

คุณชาลิดา พูลทรัพย์ ศิลปินจากกลุ่มผลิตภัณฑ์เทียนหอมเดชอุดม

นอกจากนี้ทางศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา อุบลราชธานี ยังเปิดให้บริการที่จอดรถสำรองและจัดเตรียมรถรับ-ส่งนักท่องเที่ยวบริเวณลานจอด 2 ประตูทางเข้าเคเอฟซี

เพื่อร่วมชม  ความงดงามของขบวนแห่เทียนอันยิ่งใหญ่ บริเวณทุ่งศรีเมือง ในวันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม 2561 รอบการรับส่งทุกๆ  30 นาที  ตั้งแต่เวลา 06.00-18.00น.  ฟรี

สำหรับพิธีเปิด  ได้รับเกียรติจาก นายเธียรชัย  พุทธรังษี  รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เป็นประธานเปิดงาน โดยมี คุณชนะศักดิ์ นิยะถิรกุล
ผู้ช่วยผู้อำนวยการแผนกการตลาดสาขา เขต 3 บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน),   คุณธนภร  พูลเพิ่ม   ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานอุบลราชธานี, คุณสมชาติ พงคพนาไกร  ประธานหอการค้าจังหวัดอุบลราชธานี และคุณชาลิดา พูลทรัพย์ ศิลปินจากกลุ่มผลิตภัณฑ์เทียนหอมเดชอุดม ร่วมงาน

ในวันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม 2561 เวลา 15.00 น.
ณ ลานอะควาเรียม ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา อุบลราชธานี

เพราะอยากรู้เลยต้องมาลอง

จัดหนักแค่ไหน!
บุฟเฟต์ที่ทำให้ให้มื้อค่ำนี้ ฟินกว่ามื้อไหนๆ

ชวนกันมาดื่ม พร้อกับอิ่มอร่อยสไตล์ไทยๆในค่ำคืนวันเสาร์ ห้องอาหารบิสโทรเอ็ม แมริออท เอ็กเซ็กคิวทีฟ อพาร์ทเมนท์ สุขุมวิท พาร์ค กรุงเทพฯ

ก่อนอื่นต้องขอสวัสดีเป็นไทยกันก่อน เพราะวันนี้ Toptotravel  พาไปชิมอาหารค่ำมื้อพิเศษ บอกเลยขากินต้องหลงรักร้านนี้เข้าอย่างเต็มเปา

ก้าวแรกที่รู้สึก บรรยากาศโล่งๆ สบายๆๆ ที่ไลน์อาหารสัมผัสกับเมนูและมื้ออาหารสุดหรู ที่ได้เชฟ เชฟธีรเทพ ดิษาภิรมย์ หรือ ’เชฟต่อ’ และห้องอาหารบิสโทรเอ็มขอเชิญทุกท่านมาลิ้มลองโปรโมชั่นSaturday Night Thai Food Feast’ บุฟเฟต์อาหารเย็นสไตล์ไทยๆ ในค่ำคืนวันเสาร์ ที่ทางห้องอาหารได้คัดสรรเมนูเด็ดจากหลากหลาย ภูมิภาคทั่วประเทศมาปรุงอย่างพิถีพิถันด้วยวัตถุดิบเกรดพรีเมี่ยม ทุกเมนูที่ทยอยออกมาก็ทำเอาเซอร์ไพร้ส์อยู่เหมือนกัน บรรยากาศสบายๆ อิ่มอร่อยถูกปากทั้งครอบครัวด้วยราคาที่เป็นมิตรเพียงท่านละ 900 บาท/เน็ท  เท่านั้น

 

เราเลือก  Saturday Night Thai Food Feast ที่นี่  เพราะความพิถีพิถันในการเลือกวัตถุดิบและมีวิธีการปรุงที่ดีต่อสุขภาพโดยอาหารทั้งหมดผ่านรสมือจาก ’เชฟต่อ’ โดยการนำรสชาติอาหารไทยแบบโบราณให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่งเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพมารังสรรค์เป็นเมนูยอดฮิตที่ถูกปาก ให้เห็นถึงเสน่ห์ของรสชาติแบบไทยๆ ทั้งลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นอาหารทานเล่นแบบไทยๆ อาทิ ทอดมันปลากราย, ปอเปี๊ยะ, ไส้กรอกอีสาน ตลอดจนเมนูยำๆตำๆสุดแซ่บมากมาย พร้อมเมนูซุป ที่เลือกซดคล่องคอ อย่างต้ำยำกุ้งและต้มข่าไก่ ตามมาด้วยเมนูเอาใจคนรักเส้นอย่างผัดไทและก๋วยเตี๋ยวหมูและเนื้อตุ๋นพร้อมน้ำซุปรสกลมกล่อมไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นอาหารในโรงแรม แล้วรสชาติจะอ่อน บอกเลยคิดผิด รับประกัน

เริ่มต้นที่ ม็อคเทลตัวนี้ชื่อเกร๋ๆ อย่าง “พวงหยก” Mocktail เพิ่มความสดชื่น มีส่วนผสมของน้ำสับปะรดและน้ำมะนาวเป็นเบส เป็นการเรียกน้ำย่อยก่อนแต่ละเมนูไล่ระดับรสชาติของอาหารได้อย่างลงตัวมากๆ ซึ่งสำหรับการทานอาหาร

ส่วนไฮไลท์จะอยู่ที่สเตชั่นบาร์บีคิว ใครชอบแบบปิ้งย่าง  ก็มีพ่อครัวไว้คอยบริการ เราสามารถเลือกวัตถุดิบไปให้เชฟปิ้งย่างกันได้สดๆ ปิ้งย่าง เนื้อสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกุ้งสดตัวใหญ่ๆ เนื้อกุ้งแน่นๆ เลือกทานได้ตามใจชอบ ทั้งกุ้งแม่น้ำตัวโต, ปลาหมึก, คอหมูย่าง, ไก่สะเต๊ะ และเนื้อสตริปลอยด์ รวมไปถึงผัดไทย สูตรเด็ด เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติด้วยการปรุงด้วยสูตรตำรับ และน้ำจิ้มสุดฟินเกินห้ามใจ ของห้องอาหารบิสโทรเอ็ม

ตบท้ายด้วยผลไม้นานาชนิดและของหวานสไตล์ไทย อาทิ ข้าวเหนียวมะม่วง ลอดช่อง และอื่นๆ พร้อมเครื่องดื่มซอล์ฟดริ้ง หรือหากใครที่เป็นสายดื่มยังสามารถสั่งโปรโมชั่นฟรีโฟลวเพิ่มได้ โดยจ่ายเพิ่มเพียง 450 บาทเน็ท สำหรับฟรีโฟลวเบียร์ และ 650 บาทเน็ท สำหรับฟรีโฟลวเบียร์และไวน์ ดื่มเพลินได้ไม่อั้นตลอด 3.5 ชั่วโมง อันนี้ขอรับรองว่าไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน

หิวกันแล้วใช่ไหม? หากมื้อนี้คุณยังไม่ได้วางแพลนหรือมีร้านอาหารในใจ ขอแนะนำให้คุณรีบพุ่งตัวไปด่วนๆ

‘Saturday Night Thai Food Feast’ บุฟเฟต์อาหารเย็นสไตล์ไทย พร้อมให้คุณมาลิ้มลองความอร่อยในค่ำคืนวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 18:30 – 22:00น. ณ ห้องอาหารบิสโทรเอ็ม ตั้งอยู่บนชั้นล็อบบี้ของโรงแรมแมริออท เอ็กเซ็กคิวทีฟ อพาร์ทเมนท์ สุขุมวิท พาร์ค ภายในซอยสุขุมวิท 24 การเดินทางสะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้า  ลงสถานีพร้อมพงษ์ และสำหรับท่านที่ขับรถมาที่นี่สะดวกมากที่จอดรถรองรับสำหรับลูกค้าทุกท่านที่มาใช้บริการ

ช้าอยู่ทำไม รีบไปกัน
สอบถามข้อมูลหรือสำรองที่นั่ง ติดต่อ +66 (0)2302 5555
ติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นของทางห้องอาหารและทางโรงแรม
www.facebook.com/marriottsukhumvitpark

ใครกำลังจะไปเที่ยว กรุงโซล เชิญทางนี้

“แพรวา” แชร์ประสบการณ์เที่ยว “กรุงโซล
ประทับใจ…ทุกโมเม้นท์ ในงาน “I Seoul U”


เพื่อส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวและเชิญชวนคนรุ่นใหม่ ให้สนใจไปเที่ยว “กรุงโซล” โดยมี คุณคิม คุก จิน รองผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจการท่องเที่ยว รัฐบาลกรุงโซล มาเป็นประธานเปิดงาน นอกจากนี้ ยังได้เชิญดารานักแสดงวัยรุ่น แพรวา ณิชาภัทร ฉัตรชัยพลรัตน์ จาก ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น ซีซั่น 2 ให้มาแชร์ประสบการณ์และโมเม้นท์ความประทับใจที่ได้จากการไปท่องเที่ยว
กรุงโซล ให้กับผู้ร่วมชมงานได้รับฟังอย่างสนุกสนาน  I Seoul U ภายใต้
คอนเซ็ปต์  “ไลฟ์ โซล เพลย์กราวด์ อินแบงคอก”

คุณคิม คุก จิน รองผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจการท่องเที่ยว รัฐบาลกรุงโซล

เพื่อส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวและเชิญชวนคนรุ่นใหม่ ให้สนใจไปเที่ยว “กรุงโซล” โดยมี คุณคิม คุก จิน รองผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจการท่องเที่ยว รัฐบาลกรุงโซล มาเป็นประธานเปิดงาน นอกจากนี้ ยังได้เชิญดารานักแสดงวัยรุ่น แพรวา ณิชาภัทร ฉัตรชัยพลรัตน์ จาก ฮอร์โมน วัยว้าวุ่น ซีซั่น 2 ให้มาแชร์ประสบการณ์และโมเม้นท์ความประทับใจที่ได้จากการไปท่องเที่ยว
กรุงโซล ให้กับผู้ร่วมชมงานได้รับฟังอย่างสนุกสนาน  I Seoul U ภายใต้
คอนเซ็ปต์  “ไลฟ์ โซล เพลย์กราวด์ อินแบงคอก”

แพรวา ณิชาภัทร เล่าความประทับใจที่ได้ไปเที่ยว กรุงโซล ให้ฟังว่า ตอนนี้ สถานที่เช็กอินแห่งใหม่ของวัยรุ่นเกาหลี มีชื่อว่า Seoullo 7017 (ซออุลโล 7017) สวนลอยฟ้ากลางเมืองแห่งเดียวของโลก บนทางเดินลอยฟ้า หน้าสถานีรถไฟ Seoul Station ตรงนี้ น่าสนใจมาก เพราะถือเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ ที่คนไปเที่ยวกรุงโซลจะต้องไปเช็กอิน ยิ่งไปตอนอากาศหนาวๆ โรแมนติกมากค่ะ

เส้นทางเดิน Seoullo 7017 ถือได้ว่าน่าเดินและสะดวกมาก เพราะเชื่อมต่อกับสถานี โซลสเตชั่นแล้ว ยังเชื่อมไปถึงตลาดนัมแดมุน ตลาดเมียงดง และทางไปภูเขานัมซาน ได้อีกด้วย แล้วทางเดินลอยฟ้าแห่งนี้ยังเชื่อมต่อกับอาคารร้านค้าใกล้เคียง ซึ่งจะมี ร้านกาแฟ ร้านหนังสือ และเอ้าท์เลตขายสินค้าแบรนด์ต่างๆ มีกิจกรรรมให้ช้อป ให้นั่งชิลล์ ชมเมืองเพียบเลยค่ะ

สถานที่อีกแห่งที่ แพรวา ชอบมากๆ คือ ย่านฮงแด (Hongdae) ตรงนี้จะเป็นแหล่งรวมตัวของวัยรุ่นและฮิปสเตอร์เกาหลี ถ้าไปเดินจะได้สัมผัสกับบรรยากาศที่มีสีสัน ควรไปเดินช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ตั้งแต่เวลา 11 โมงเช้า เป็นต้นไป รับรองว่าจะเพลินตา…เพลินใจ กันอย่างแน่นอน เพราะร้านค้าย่านนี้ จะนำสินค้าอัพเดทสไตล์วัยรุ่นเกาหลีมาวางขายแข่งกัน รอบๆ ก็จะมี ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ที่ตกแต่งแบบเก๋ๆ ให้ แชะภาพ เซลฟี่ อวดเพื่อนๆ ในโซ

แหล่งท่องเที่ยวยอดฮิต…ที่ใครไปเที่ยว กรุงโซล แล้วต้องไปเกือบทุกคน ก็คือ หอคอย N Seoul Tower โดยเฉพาะคนที่มีคนพิเศษไปเที่ยวด้วย ก็จะชื่นชอบที่นี่มาก มีวิวทิวทัศน์สวยงามให้ถ่ายรูป และมีกิจกรรมคล้องกุญแจรัก “โรแมนติกจริงๆ” ก่อนคล้องกุญแจรัก จะเขียนชื่อตัวเองกับคนรัก เมื่อคล้องแม่กุญแจเสร็จ ให้โยนลูกกุญแจทิ้งไป เชื่อว่าจะทำให้ความรักยืนยาวและไม่พรากจากกัน ไปเที่ยวได้ทั้งตอนกลางวัน และ ตอนกลางคืน เพราะสวยสวยไม่แพ้กัน ยิ่งช่วงฤดูหนาว จะยิ่งเพิ่มดีกรีความโรแมนติกให้มากขึ้นไปอีก แพรวาไปแล้วประทับใจมากๆ ค่ะ

สิ่งที่แพรวา เลิฟและเชื่อว่าคนไปเกาหลี ส่วนใหญ่ชอบเหมือนกัน นั่นก็คือ อาหาร มีหลายๆ เมนูที่กินแล้วติดใจ อย่างเช่น เนื้อย่างเกาหลี, ไก่ตุ๋นโสม,
ต็อกป็อกกี นอกจากนี้ ยังมี ตลาดกวางจัง ซึ่งถือว่าเป็นตลาดเก่าแก่ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโซล มีของขายเยอะมาก ของกินก็เยอะ มีร้านกินบิบิมบับ หรือ ข้าวยำเกาหลี ใครอยากลองแบบรสชาติแบบเกาหลีแท้ๆ ต้องมากินที่นี่ เดินเที่ยว…เดินช้อป สนุกมากๆ ค่ะ และที่ กรุงโซล ก็ยังมี ศูนย์การค้าและสวนสนุกที่มีชื่อเสียง Lotte World เรียกได้ว่าไปเที่ยว กรุงโซล ได้ครบทุกอารมณ์ ช้อป ชิม ชิลล์ และโรแมนติก ที่สำคัญเดินทางไปสะดวก และ ราคา
ก็ไม่สูงมากด้วยค่ะ

สำหรับ การจัดงาน I Seoul U ได้จำลองบรรยากาศ “กรุงโซล” มาจัดแสดง ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ไลฟ์ โซล เพลย์กราวด์ อินแบงคอก” (Live Seoul Playground in Bangkok) พร้อมกับมีกิจกรรมเล่นเกมโยนลูกเต๋าท่องเที่ยวกรุงโซล, กิจกรรมล็อกกุญแจคู่รักที่นัมซัน, เดินทะลุมิติไปสู่กรุงโซล พร้อมกับชมจำลองบรรยากาศกรุงโซลในยามค่ำคืน ที่สวยงามและมีสีสัน เพื่อให้
ผู้เข้าชมงานได้สัมผัสวิถีชีวิตตามแบบฉบับชาวเกาหลี ที่อาศัยอยู่ใน กรุงโซล” และรับข้อมูลการท่องเที่ยวที่อัพเดท

ไฮไลท์ของงาน I Seoul U ก็คือ ผู้เข้าร่วมงานทุกๆ คน จะได้รับ “สิทธิ์ลุ้น” รับบัตรเงินสด T-Money Card ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ สำหรับงาน I Seoul U ซึ่งบนบัตรได้สกรีนภาพศิลปิน BTS ขวัญใจวัยรุ่นที่กำลังฮอตฮิต และเป็นที่ต้องการของแฟนคลับอย่างมาก ทั้งนี้ ผู้สนใจข้อมูลท่องเที่ยว “กรุงโซล” สามารถเยี่ยมชม

การท่องเที่ยวเกาหลีใต้ (โซล) ได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน
จัดงาน I Seoul U ภายใต้คอนเซ็ปต์  “ไลฟ์ โซล เพลย์กราวด์ อินแบงคอก” (Live Seoul Playground in Bangkok) ขึ้นที่บริเวณ ลาน Work & Play
ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา แกรนด์ พระราม 9

www.visitseoul.net
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Email : iseouluthailand@hotmail.com

โครงการ Eat Local Locallicious

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจัดประกวด 20 สุดยอดเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงอาหารหรือ Food Tourism ภายใต้โครงการ
“Eat Local : Locallicious”

นอกจากจะเปิดตัว  โครงการ “Eat Local : Locallicious” แล้ว  ภายใต้โครงการยัง เน้นโปรโมตเส้นทางอาหารถิ่น เส้นทางเรียนรู้วัตถุดิบพร้อมเรียนรู้วัฒนธรรมด้านอาหารร่วมกับเชฟชุมชน เส้นทางอาหารอร่อย อาหารห้ามพลาด ร่วมกับพันธมิตรส่งเสริมการขาย โดยทุกการใช้จ่ายสามารถรับสิทธิพิเศษมากมาย โดยมีวัตถุประสงค์กระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวใน 55 เมืองรองทั่วประเทศ ยกระดับแหล่งท่องเที่ยวเมืองรองโดยใช้อาหารเป็นเครื่องมือในการทำ Destination Marketing ผลักดันสินค้าบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของแต่ละจังหวัดให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอาหาร Food Tourism ให้เป็นจุดขายทางการตลาด กระตุ้นการท่องเที่ยวในท้องถิ่นเพื่อกระจายโอกาสเชิงรายได้ลงสู่เมืองรอง ตามเป้าไม่ต่ำกว่า 3.5 แสนล้านบาท โดยได้รับความร่วมมือในการอำนวยความสะดวกแก่ผู้เข้าร่วมประกวดจากหลายภาคี อาทิ แพลน บี มีเดีย ในการเป็นสื่อประชาสัมพันธ์หลักของโครงการ HQHotelquickly ในการสนับสนุนดีลพิเศษที่พักของผู้เข้าประกวด สายการบินไทยแอร์เอเชียสนับสนุนตั๋วเครื่องบินการเดินทางแก่ผู้เข้าประกวด รวมถึง Take Me Tour Wongnai และ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ในการสนับสนุนและอำนวยความสะดวกแก่ผู้เข้าประกวดในด้านต่างๆ ซึ่งผลที่ได้รับหลังจากโครงการนั้นจะก่อให้เกิดการแชร์ประสบการณ์กินที่น่าสนใจในหมู่นักท่องเที่ยว เกิดทริปกินเที่ยวรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน ได้ยอดขายที่เป็นรูปธรรม ทั้งยังเพิ่มรายได้ให้คนในท้องถิ่น รวมถึงเป็นการกระตุ้นให้เกิดผู้ประกอบการด้านท่องเที่ยวหน้าใหม่

ทั้งนี้ การท่องเที่ยวเชิงอาหารเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงในปี 2018-2020 ซึ่งอาหารเป็นเครื่องมือบอกเล่าเรื่องราว ของแต่ละชุมชนนั้นๆได้อย่างมากมาย ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิถีชีวีตของคนในท้องถิ่น โดยจากการสำรวจและวิจัยพบว่าเทรนด์พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ต้องการเสาะแสวงหาสถานที่ใหม่ๆที่ยังไม่เคยมีใครไป (Off the Beaten Path) มองหาอาหารท้องถิ่นที่มีความแปลกใหม่ชอบเสพเรื่องราวและค้นหาความสามารถของตัวเองผ่านการเรียนรู้ร่วมกับคนในท้องถิ่น และมีหัวใจที่ต้องการสนับสนุนสินค้าชุมชนโดยตรง ซึ่ง ททท. มองว่าแคมเปญของ locallicious จะตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ ทำให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวไปยังเมือรอง สามารถสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท

การเฟ้นหาสุดยอด 20 ทริปสายกินใน 55 เมืองรองนั้นได้มุ่งเป้าผู้เข้าร่วมประกวดไปที่ กลุ่ม Food Lover กลุ่มเชฟรุ่นใหม่ กลุ่มวัยทำงาน กลุ่มนักศึกษา Bloggers สายกิน-เที่ยว ​กลุ่มบริษัททัวร์ และ local expert ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสามารถส่งมอบประสบการณ์ด้านอาหาร (Food Experience) รู้แหล่งกิน-เที่ยวแบบเจาะลึก ทั้งมีความชำนาญและใฝ่รู้ทางด้านอาหาร ซึ่งแนวทางของการออกแบบทริปนั้นสามารถเน้นการทำกิจกรรมลงมือทำผสมกับการได้ชิม ลิ้มลอง อาหารและวัตถุดิบท้องถิ่นที่หาไม่ได้จากที่ไหน บรรยากาศการกินอาหารในสถานที่แปลกใหม่แบบไทยเท่ห์ ซึ่งการออกแบบทริปสามารถทำได้ในหลายรูปแบบ อาทิ การเจาะลึกตะลุยแหล่งวัตถุดิบแล้วนำมาเรียนรู้กับเชฟท้องถิ่น การลุยตลาดเด็ดที่ขาชิมไม่ควรพลาด การทำอาหารเมนูสูตรชนเผ่ากับเชฟชุมชน และการสร้างประสบการณ์กินสุดว้าวที่หาจากที่อื่นไม่ได้ โดยเกณฑ์การตัดสินนั้นจะมาจากการการคัดเลือกจำนวน 2 รอบ โดยรอบที่ 1 จะตัดสินจากคัดเลือกบวกกับคะแนนจากการ like และ share โพสต์ของผู้เข้าแข่งขัน โดยผู้ที่มีคะแนนสูงสุด 40 ทีมแรกจะได้ผ่านเข้ารอบที่ 2 ซึ่งคณะกรรมการของโครงการจะเป็นผู้ทำการคัดเลือก 20 ทริปสุดท้ายจาก 40 ทริปที่เข้ารอบ โดย 20 ทีมสุดท้ายจะสามารถนำมาทริปมาทำการขายจริงแก่นักท่องเที่ยว ซึ่งกรรมการผู้ตัดสินของโครงการนั้น ได้รับความร่วมมือจากผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่านทั้งทางด้านอาหาร ด้านการท่องเที่ยว ด้านการตลาด รวมถึงทางด้านการออกแบบสร้างสรรค์ ได้แก่ คุณนพดล ภาคพรต (รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ) คุณสุธีรพันธุ์ สักรวัตร (ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ผู้บริหารสูงสุดการตลาดธนาคารไทยพาณิชย์) คุณกิตติ พรศิวะกิจ (นายกสมาคมการตลาดท่องเที่ยวไทย) คุณยอด ชินสุภัคกุล (ผู้บริหารจาก Wongnai Media) คุณ ณพีรา เตชาชาญ (ผู้บริหารจาก Napira Travel Stylist) และ คุณนพพล อนุกูลวิทยา (ผู้บริหารบริษัท Take Me Tour)

โดยผู้ที่ผ่านเข้ารอบ 20 ทีมแรก จะได้รับรางวัลรวมมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 370,000 บาท ในส่วนการแข่งขันรอบที่ 2 ผู้เข้ารอบ 20 ทีมจะมาแข่งขันขายทริปจริง โดยผู้ที่ได้ยอดขายสูงสุด 5 ทีมแรก จะได้รับรางวัลเท่ายอดขาย ยิ่งขายมาก ยิ่งได้มาก

สำหรับระยะเวลาของโครงการนั้นจะถูกแบ่งเป็น 4 ช่วงได้แก่ช่วงแรกในเดือนมิถุนายน จะเป็นช่วงประชาสัมพันธ์เพื่อรับสมัครผู้เข้าแข่งขัน ช่วงที่ 2 คือเดือนกรกฎาคม จะเป็นช่วงที่ผู้เข้าแข่งขันสร้างสรรค์ทริปท่องเที่ยวสุดครีเอทิฟ และช่วงที่ 3 ในเดือนสิงหาคม ผู้เข้าแข่งขันจะทำการประชาสัมพันธ์ทริปของตนเองผ่านทางช่องทางออนไลน์ และช่วงสุดท้ายคือเดือนกันยายน จะเป็นช่วงแข่งขาย โดยจะขายทริปผ่านช่องทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ www.thelocallicious.com และจะมีการจัดงานขาย 20 สุดยอดฟู้ดทริป “Thailand Food Tourism Mart” ที่ศูนย์การค้าชั้นนำ โดยมีกิจกรรมมากมายภายในงาน อาทิ กิจกรรม workshop กับเชฟชื่อดัง มินิคอนเสริต์จากศิลปินชื่อดัง กิจกรรมสำหรับครอบครัว และอื่นๆอีกมากมาย โดยตลอดระยะเวลาของโครงการจะมีการประชาสัมพันธ์โครงการอย่างต่อเนื่องทั้งช่องทาง Online และ Offline และมีกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อมากมาย อาทิ แพคเกจ 3 วัน 2 คืนโรงแรม รีสอร์ทห้าดาวในพื้นที่เมืองรองอาทิ สันธิญา เกาะยาวใหญ่ รีสอร์ท แอนด์ สปา, ภูใจใส, katiliya mountain resort & spa จังหวัดเชียงราย, มันนอกไอส์แลนรีสอร์ท (munnork island resort) เป็นต้น ตั๋วเครื่องบินไป-กลับเที่ยวเมืองรองจากแอร์เอเชีย และ voucher ร้านอาหารมากมาย และพบกับดีลห้องพักสุดพิเศษจาก HotelQuickly.com สำหรับสมาชิก Locallicious เท่านั้น

โครงการ Locallicious ได้จัดพิธีเปิดโครงการไปอย่างยิ่งใหญ่เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2561 ที่ผ่านมา ณ โรงแรม แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ โดยมี คุณยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยร่วมเป็นประธานเปิดงาน พร้อมผู้สนับสนุนโครงการ อาทิ PlanB Media, HotelQuickly.com, Air Asia, Major Cineplex, Wongnai Media, TakeMeTour โดยมีกิจกรรมไฮไลท์เปิดตัวโครงการได้แก่ โชว์ทำอาหารจากเชฟกะทะหล่อโดยนายสุรกิจ เข็มแก้ว หรือ เชฟปิง ที่จะมาสร้างประสบการณ์อาหารแบบเชฟเทเบิ้ลจากวัตถุดิบท้องถิ่นในงาน

ทั้งนี้สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมของโครงการหรือสนใจสมัครเข้าประกวดสามารถรับรายละเอียดได้ที่
Facebook: thelocallicious
เว็บไซต์ www.Thelocallicious.com

การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการออกแบบการผลิตยานพาหนะสมัยใหม่


ก.วิทย์ฯ-สวทช. จับมือ กลุ่มบริษัทโชคนำชัย
พัฒนาเทคโนโลยียานยนต์-เรือ เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจไทย

ณ บริษัท โชคนำชัย ไฮ-เทค เพรสซิ่ง จำกัด จ.สุพรรณบุรี: กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ บริษัท โชคนำชัย ไฮ-เทค เพรสซิ่ง จำกัด และ บริษัท สกุลฎ์ซี อินโนเวชั่น จำกัด หนึ่งในกลุ่มบริษัทโชคนำชัย (CNC Group) ผู้ผลิตแม่พิมพ์ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

จัดแถลงข่าวความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการออกแบบ การผลิตยานพาหนะสมัยใหม่ ที่สามารถนำมาต่อยอด  ในการสร้างหรือพัฒนาผลิตภัณฑ์เดิมให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ พร้อมทั้งสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไทยให้สูงขึ้น

นางสุวิภา   วรรณธารพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ  สวทช.  กล่าวว่า สวทช.
ได้มีการดำเนินงานกิจกรรมทางด้านยานยนต์มา กว่า 10 ปี และในอนาคตเทคโนโลยียานยนต์จะมุ่งไปสู่การขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ รวมถึงการนำระบบอัจริยะต่างๆ มาติดตั้งในยานยนต์ ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวจะทำให้เกิดการพัฒนาต่อยอดไปสู่การขับเคลื่อนที่ยานพาหนะได้หลายรูปแบบ อาทิ จากการขับเคลื่อนผ่านล้อยางเป็นมอเตอร์ใบพัดในลักษณะของการบินหรือเรือ สวทช. จึงได้ทำวิจัยและพัฒนาประเด็นมุ่งเน้นด้านการขนส่งสมัยใหม่ หรือ Modern Transportation ซึ่งจะมีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างยิ่ง ทั้งการจ้างงาน การลงทุน การลดปัญหามลพิษ และสิ่งแวดล้อม รวมถึงสร้างอุตสาหกรรมและบริการใหม่ๆ อีกหลายประเภทในอนาคต ซึ่งทิศทางของแนวโน้มเทคโนโลยีดังกล่าว ทำให้การผลิตยานยนต์แบบเดิมๆ อาจไม่สามารถตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ในอนาคต จึงจำเป็นที่ผู้ประกอบการไทยจะต้องปรับตัว และใช้โอกาสในช่วงเปลี่ยนแปลงนี้เร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สามารถตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคตต่อไป

ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สวทช. กล่าต่อว่า ทั้งนี้กลุ่ม  บริษัท โชคนำชัย ได้มีความร่วมมือ กับ สวทช. ทั้งในด้านการวิจัยและพัฒนาโครงสร้างเรือ และรถโดยสาร โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ เอ็มเทค สวทช. และ DECC โดยใช้กลไกของ โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ ITAP รวมถึงการสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานด้วยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ การยื่นขอรับการพิจารณาบัญชีนวัตกรรม และการลดภาษี 300% ซึ่งการดำเนินโครงการต่างๆ นั้น ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี ช่วยให้บริษัท โชคนำชัย และ บริษัท สกุลฎ์ซี อินโนเวชั่นฯ สามารถพัฒนากระบวนการผลิตโดยมีนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษา

ทั้งนี้จากความสำเร็จที่ผ่านมาทางบริษัทจึงได้เตรียมทำสัญญาลงนามความร่วมมือด้านการวิจัยร่วมกับ สวทช. ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 29 สิงหาคม 2561 ณ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมวิจัยและพัฒนายานพาหนะสมัยใหม่ รวมถึง ชิ้นส่วน โครงสร้าง และองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง ร่วมวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตแม่พิมพ์ และการออกแบบ และผลิตโครงสร้างน้ำหนักเบา ตลอดจนร่วมพัฒนาบุคลากร และกำลังคนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยียานพาหนะสมัยใหม่ ซึ่งจากความสำเร็จที่ผ่านมาทำให้บริษัทมีความมั่นใจและมีความประสงค์ที่จะมีความร่วมมือกับ สวทช. ในด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตใหม่ๆ เพื่อสร้างองค์ความรู้ และยกระดับศักยภาพในการผลิตยานยนต์

เพื่อคนไทยให้เกิดขึ้นในประเทศต่อไป ​ด้าน นายนำชัย สกุลฎ์โชคนำชัย ประธานกลุ่มบริษัท โชคนำชัย และบริษัท สกุลฎ์ซี อินโนเวชั่น จำกัด กล่าวว่า กลุ่มบริษัทโชคนำชัย (CNC Group) เป็นหนึ่งในองค์กรที่โลดแล่นอยู่
ในวงการอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีของประเทศไทยมาอย่างยาวนาน ผลงานการค้นคว้าวิจัยด้านเทคโนโลยีที่บริษัทได้คิดค้นขึ้น นับเป็นองค์ความรู้สำคัญต่อการพัฒนาและต่อยอดเทคโนโลยี นวัตกรรม รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้มีคุณภาพที่สูงขึ้น จนทัดเทียมกับระดับสากล สามารถต่อยอดมูลค่าทางเศรษฐกิจไทย จนนำมาซึ่งการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีในสังคม และเพื่อการต่อยอดนวัตกรรมให้มีคุณภาพมากขึ้น บริษัทโชคนำชัยฯ จึงได้ทำความร่วมมือ กับ สวทช. เพื่อนำองค์ความรู้ที่สำคัญต่อการพัฒนาของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการนำระบบสารสนเทศ  สำหรับการบริหารทรัพยากรขององค์กร (ERP) เข้ามาประยุกต์ใช้งานภายในและทดแทนระบบสารสนเทศที่ใช้อยู่เดิม ก่อให้เกิดความสะดวก และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานขององค์กรมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังต่อยอดองค์ความรู้ด้านการผลิตเรืออลูมิเนียมของ บริษัท สกุลฎ์ซี อินโนเวชั่น จํากัด อีกหนึ่งบริษัทย่อยของกลุ่มบริษัทโชคนำชัย นั่นก็คือ แนวทางในการออกแบบ เรือ SAKUN โดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการคำนวณทางพลศาสตร์ของไหล หรือ CFD ช่วยในการจำลองสภาวะการใช้งานและศึกษาความสัมพันธ์ ตลอดจนผลกระทบจากการไหลของน้ำที่มีต่อเรือ ที่สำคัญ สวทช. ยังมีช่วยให้คำปรึกษา และช่วยในการวิเคราะห์ความแข็งแรงของโครงสร้างรถโดยสารตัวถังอลูมิเนียม ซึ่ง บริษัท สกุลฎ์ซีฯ ได้นำมาศึกษาและหาแนวทางลดน้ำหนักของโครงสร้างในอนาคต

ซึ่งความรู้ตัวนี้จะช่วยในการลดค่าใช้จ่าย และลดอัตราการกินน้ำมัน สร้างประโยชน์ให้กับอุตสาหกรรมของประเทศได้โดยตรง นายนำชัย กล่าวต่อว่า จากผลงานและความสำเร็จที่เกิดขึ้น จึงทำให้ปีนี้ บริษัทโชคนำชัยได้ร่วมมือกับ สวทช. อีกครั้ง ซึ่งการร่วมมือกันในครั้งนี้จะสร้างผลประโยชน์ให้กับวงการเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมไทยมากยิ่งขึ้น โดย สวทช. ได้มีการทำโครงการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อนำมาขยายขีดความสามารถในการผลิตนวัตกรรม และพัฒนากระบวนการผลิตโดยระบบ Automation ทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงร่วมกันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการออกแบบ ยานยนต์สมัยใหม่ โดยใช้โครงสร้างน้ำหนักเบา และขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า ตอบรับยุค Thailand 4.0 อย่างเต็มตัว

อย่างไรก็ตาม ในความร่วมมือครั้งนี้ บริษัทสกุลฎ์ซีและ สวทช. ริเริ่มโครงการพัฒนาเรืออัจฉริยะ ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การใช้แอพพลิเคชั่นเก็บข้อมูลและวิเคราะห์การขับขี่ของผู้ขับเรือ สร้างความมั่นใจให้ผู้โดยสารมากยิ่งขึ้น การใช้ระบบ GPS และมอเตอร์ขับเคลื่อน

ในการควบคุมตำแหน่งของเรือ ลดการเกิดอุบัติเหตุและการแล่นออกนอกเส้นทาง และใช้ระบบข้อมูล IOT เก็บข้อมูลเรือที่จำหน่ายออกไปเพื่อบริหารจัดการข้อมูลคู่ค้า และนำมาสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อต่อยอดให้จุดแข็งการท่องเที่ยวของประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และ  บริษัทโชคนำชัย กับ สวทช. ยังให้ความสำคัญกับความร่วมมือกันพัฒนาทักษะบุคลากรด้านการวิจัย ด้านการพัฒนา และด้านการบริหารองค์ความรู้ รวมไปถึงการแลกเปลี่ยนบุคลากรในองค์กร  เพื่อสร้างบุคลากร
ที่มีคุณภาพ เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีไทยต่อไป

นาฬิกาสุดแนวภายใต้ชื่อ HYT แบรนด์นาฬิกาอินดี้ชั้นสูงสวิส

HYT Thailand Boutique แห่งแรกในประเทศไทย

​แนวคิดของนาฬิกาน้ำหรือ Clepsydra ในโลกโบราณมารังสรรค์เป็นนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาชั่วโมงด้วยของเหลวชนิดพิเศษ HYT ก่อตั้งเมื่อปี 2012 ในฐานะแบรนด์นาฬิกาอินดี้ค่ายแรกที่นำแนวคิดของนาฬิกาน้ำหรือ Clepsydra ในโลกโบราณมารังสรรค์เป็นนาฬิกาข้อมือที่บอกเวลาชั่วโมงด้วยของเหลวชนิดพิเศษ ซึ่งกว่าแบรนด์จะทำสำเร็จนั้นต่างต้องใช้เวลาในการวิจัยพัฒนายาวนานเพื่อมั่นใจว่าของเหลวที่มีสี 2 ชนิดจะไม่ผสมกันและสามารถทำหน้าที่เป็นเข็มชี้บอกเวลาชั่วโมงได้

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา HYT เป็นหนึ่งในแบรนด์อินดี้ที่มีความโดดเด่นทางด้านกลไกบอกเวลา  ด้วยของเหลวและดีไซน์ตัวเรือนล้ำยุคมาก ไม่เพียงเท่านี้ เอกลักษณ์เฉพาะตัวในการแสดงเวลาของแบรนด์  ทำให้ผู้ชื่นชอบและนักสะสมนาฬิกาทั่วโลก   ต่างให้ความสนใจอยู่ไม่น้อย  สะท้อนถึงอนาคตอันสดใสของวงการนาฬิกาที่มักใฝ่หานวัตกรรมและนาฬิการูปแบบใหม่อยู่เสมอ

Grand Opening of HYT Thailand Boutique

HYT แบรนด์นาฬิกาอินดี้ชั้นสูงสวิสเปิดตัว HYT Thailand Boutique แห่งแรกในประเทศไทยเพื่อนำเสนอเรือนเวลาซับซ้อนสูงที่ไม่เหมือนใครแก่นักสะสมและผู้หลงใหลนาฬิกาชาวไทยได้ลองสัมผัสสวมใส่กัน โดยบูติกมาพร้อมกับคอลเลกชั่นใหม่ล่าสุดและผลงานอันโดดเด่นหลายเรือนด้วยกันเช่น Ho, H20, H1, H2, H3, H4, และ Skull ทั้งนี้ Mr. Gregory Dourde CEO แห่งแบรนด์และ Mr. David Keel ผู้อำนวยการบริหารจัดการแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้เกียรติเข้าร่วมงานเปิดตัวบูติกครั้งสำคัญ

เพื่อสะท้อนว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่แบรนด์ให้ความสนใจอยู่ไม่น้อย นอกจากนี้ ภายในงานยังได้รับเกียรติจากแขกผู้มีเกียรติที่เป็นนักสะสมนาฬิกาชั้นนำของประเทศไทยและสื่อมวลชนเข้าร่วมบันทึกภาพบรรยากาศพร้อมกับทดลองสวมใส่เรือนเวลาอีกด้วย

เปิดแล้ว ร้านนาฬิกาแบรนด์อินดี้ HYT นาฬิกาที่เด่นด้วยเทคโนโลยีการแสดงเวลาด้วยของเหลวผ่านหลอดที่พัฒนามาเป็นพิเศษแบรนด์เดียวในโลกร้านนาฬิกาหรูสุดอินดี้ HYTชั้นสูงจากสวิสแล้วที่ สยามพารากอน
www.hytwatches.com

#HYTWatches

ย้อนตำนานสระบุรี สืบสานประเพณีหนึ่งเดียวในโลก

“ตักบาตรดอกเข้าพรรษา” ประจำปี 2561

เชื่อว่า “ดอกเข้าพรรษา” เมื่อนำมาตักบาตรจะได้บุญกุศลแรง และสีของกลีบประดับมีหลายสี เช่น สีเหลือง สีขาว และ สีม่วง ซึ่งแต่ละสีมีความเชื่อ ดังต่อไปนี้ สีขาว หมายถึง ความบริสุทธิ์แห่งพระพุทธศาสนา สีเหลือง
หมายถึง สีแห่งพระสงฆ์ สีม่วง เป็นสีที่หายากที่สุด และ ชาวอำเภอพระพุทธบาทเชื่อว่าการใส่บาตรด้วยดอกสีม่วงจะได้บุญกุศลมากที่สุด

ซึ่งเมื่อพระสงฆ์ได้รับบิณฑบาตแล้วก็จะนำไปสักการะรอยพระพุทธบาท อันจะส่งผลบุญให้ผู้ทำบุญตักบาตรได้ขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

ดอกเข้าพรรษาหรือดอกหงส์เหิน   ซึ่งหนึ่งปีจะออกดอกเพียงครั้งเดียว เฉพาะในช่วงเทศกาลวันเข้าพรรษาเท่านั้น ในท้องที่อำเภอพระพุทธบาท พบว่ามี 2 สกุล ได้แก่ สกุลกระเจียว มีดอกสีขาวหรือขาวอมชมพู และสกุลหงส์เหิน ดังกล่าวไว้ข้างต้น เมื่อถึงวันเข้าพรรษา คือ วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี ชาวอำเภอพระพุทธบาทจะพากันไปเก็บดอกเข้าพรรษา  ตามไหล่เขาโพธิลังกาหรือเขาสุวรรณบรรพต เทือกเขาวง และเขาพุในเขต อำเภอพระพุทธบาท นำมาจัดรวมกับธูปเทียนเพื่อตักบาตรถวายพระ  ที่จังหวัดสระบุรีได้จัดพิธีตักบาตรดอกเข้าพรรษาและถวายเทียนพระราชทาน ณ วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหารพระอารามหลวง ตำบลขุนโขลน อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี และเป็นสถานที่ประดิษฐาน

“รอยพระพุทธบาท” อันศักดิ์สิทธิ์ที่พุทธศาสนิกชนให้ความเคารพบูชา ซึ่งมีความเชื่อในคติชาวลังกาว่า พระพุทธเจ้าได้ประทับรอยพระพุทธบาทไว้ 5 แห่ง และรอยพระพุทธบาทที่วัดพระพุทธบาทฯ แห่งนี้ เป็น 1 ใน 5 แห่ง ต่อมารอยพระพุทธบาทนี้ถูกค้นพบในสมัยพระเจ้าทรงธรรม

จังหวัดสระบุรีร่วมกับเทศบาลเมืองพระพุทธบาท เตรียมจัดงานประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวสระบุรี “ตักบาตรดอกเข้าพรรษา” ประจำปี 2561 เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ และเผยแพร่อีกหนึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของประเทศไทย ให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมย้อนตำนานสระบุรี สืบสานประเพณีหนึ่งเดียวในโลก ระหว่างวันที่ 26-28 กรกฎาคม 2561 นี้

นายบัณฑิตย์ เทวีทิวารักษ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี เปิดเผยว่า การจัดงานประเพณีตักบาตรดอกเข้าพรรษาและถวายเทียนพระราชทาน จังหวัดสระบุรีเป็นงานที่จัดขึ้นระหว่างจังหวัดสระบุรี ร่วมกับเทศบาลเมืองพระพุทธบาท วัดพระพุทธราชวรมหาวิหาร และภาคเอกชน เพื่อเป็นการอนุรักษ์และส่งเสริมขนบธรรมเนียมประเพณีของท้องถิ่น จนมาเป็นประเพณีของจังหวัด และปัจจุบันเป็นประเพณีระดับประเทศ และได้ชื่อว่าเป็น “ประเพณีหนึ่งเดียวในโลก” และเป็นประเพณีสำคัญที่อยู่คู่กับวัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหารมาช้านาน พี่น้องประชาชนชาวพระพุทธบาท และพื้นที่ใกล้เคียง จะถือเอาวันเข้าพรรษาของทุกปีเป็นวันตักบาตรดอกเข้าพรรษา

งานประเพณีตักบาตรดอกเข้าพรรษา เป็นประเพณีสำคัญ ถือเป็นหนึ่งเดียวของไทย ที่อยู่คู่กับวัด พระพุทธบาทราชวรมหาวิหารมาช้านาน โดยพี่น้องประชาชนชาวพระพุทธบาท และใกล้เคียง ที่นำดอกเข้าพรรษามาบูชาสักการะรอยพระพุทธบาท เป็นประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ ของชาวจังหวัดสระบุรี โดยวันจัดงานประเพณีตักบาตรดอกเข้าพรรษา จะถือเอาวันเข้าพรรษา วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 หรือช่วงเทศกาลวันเข้าพรรษาของทุกปี เป็น วันจัดงาน ตามความเชื่อที่มีสืบต่อกันมานั้น โดยผู้เฒ่าผู้แก่ ประชาชน และคนหนุ่มสาว ทุกเพศ ทุกวัย ต่างพากันไปทำบุญตักบาตรดอกเข้าพรรษา เนื่องในวันเข้าพรรษาที่วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร

ดังนั้นเพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของท้องถิ่น และจังหวัดสระบุรี ตามนโยบายของรัฐบาล และแผนยุทธศาสตร์ รวมทั้งนโยบายของจังหวัด ที่ได้ผลักดันและส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัด ในปี พ.ศ. 2561 นี้ จังหวัดสระบุรีทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนทุกแขนง รวมทั้งประชาชนชาวจังหวัดสระบุรีตื่นตัว และเตรียมตัวต้อนรับนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่จะเดินทางมาชมงานครั้งนี้ ซึ่งจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่กว่าทุกปี เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมย้อนตำนานสระบุรี สืบสานประเพณีหนึ่งเดียวในโลก
-ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี กล่าว

นายชนัตถ์ นันทปัญญา ที่ปรึกษาคณะกรรมการจัดงานฯ หนึ่งในคณะกรรมการการจัดงานประเพณีตักบาตรดอกเข้าพรรษาฯ กล่าวว่า เพื่อเป็นการรักษาไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของประเทศไทย และวัฒนธรรมอันล้ำค่าของท้องถิ่นทั้งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดสระบุรีอีกทางหนึ่งด้วย เทศบาลเมืองพระพุทธบาท จึงได้กำหนดให้มีการจัดงานประเพณีตักบาตรดอกเข้าพรรษา และถวายเทียนพระราชทาน ประจำปี 2561 โดยกำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 26-28 กรกฎาคม 2561 ณ บริเวณถนนสายคู่ วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี

ในวันแรกของการจัดงาน จะเป็นพิธีบวงสรวงดวงพระวิญญาณสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ในอาณาบริเวณพระพุทธบาท การแสดงศิลปะพื้นบ้าน วัฒนธรรม และขบวนต่างๆ จะเริ่มเคลื่อนขบวนออกจากหน้าสำนักงานเทศบาลเมืองพระพุทธบาท ไปตามถนนพหลโยธิน และเลี้ยวเข้าบริเวณวัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร โดยดอกไม้ที่ใช้ตักบาตรแด่พระภิกษุสงฆ์นั้นจะต้องเป็น “ดอกเข้าพรรษา” เท่านั้น ซึ่งในปีนี้จะมีพิธีเปิดงาน ในวันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม 2561

สำหรับขบวนรถบุปผชาติที่มีความสวยงาม เป็นที่สนใจของทั้งชาวสระบุรีและนักท่องเที่ยวที่มาชมนั้น ในปีนี้ประกอบด้วย ขบวนที่ 1 ขบวนพยุหยาตราและขบวนเจ้าเมืองสระบุรี ขบวนที่ 2 ขบวนเทียนพรรษาพระราชทาน ขบวนเทียนพรรษาสระบุรี ขบวนที่ 3 ขบวนรถบุปผชาติ ขบวนที่ 4 ขบวนศาสนาและวัฒนธรรม

ในอดีตเมื่อถึงวันเข้าพรรษา คือวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี ชาวอำเภอพระพุทธบาทและบุคคลทั่วไปจะพากันไปเก็บดอกเข้าพรรษาตามไหล่เขาโพธิลังกาหรือเขาสุวรรณบรรพต เทือกเขาวง และเขาพุในเขตอำเภอพระพุทธบาท นำมาจัดรวมกับธูปเทียนเพื่อตักบาตรถวายพระ ซึ่งในปัจจุบันทางจังหวัดสระบุรีได้ร่วมอนุรักษ์โดยการจัดพิธีตักบาตรดอกเข้าพรรษาและถวายเทียนพระราชทาน ณ วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร พระอารามหลวง และเป็นสถานที่ประดิษฐาน “รอยพระพุทธบาท” อันศักดิ์สิทธิ์ที่พุทธศาสนิกชนให้ความเคารพบูชา ซึ่งมีความเชื่อในคติชาวลังกาว่า พระพุทธเจ้าได้ประทับรอยพระพุทธบาทไว้ 5 แห่ง และรอยพระพุทธบาทที่วัด พระพุทธบาทฯ แห่งนี้ เป็น 1 ใน 5 แห่ง ต่อมารอยพระพุทธบาทนี้ถูกค้นพบในสมัยพระเจ้าทรงธรรม เมื่อพระสงฆ์ได้รับบิณฑบาตแล้วก็จะนำไปสักการะรอยพระพุทธบาท อันจะส่งผลบุญให้ผู้ทำบุญตักบาตรได้ขึ้นสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์

สำหรับ ดอกเข้าพรรษา หรือ ดอกหงส์เหิน เป็นพืชที่จัดอยู่ในตระกูลขิง เป็นไม้ดอกเมืองร้อน และเป็นไม้ล้มลุก มีลำต้นเป็นหัวประเภทเหง้าแบบมีรากสะสมอาหาร คล้ายกระชาย กาบใบเรียงตัวกันแน่น สูงประมาณ 30-70 เซนติเมตร ใบเป็นใบเดี่ยวรูปหอก ออกเรียงสลับซ้ายขวาเป็นสองแถว ส่วนดอกมีลักษณะอ่อนช้อยสวยงามยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร มีสีเหลืองสดใสคล้ายรูปหงส์กำลังเหินบิน และสีของกลีบประดับมีหลายสี เช่น สีเหลือง สีขาว และสีม่วง ซึ่งหนึ่งปีจะออกดอกเพียงครั้งเดียว เฉพาะช่วงเทศกาลวันเข้าพรรษา เท่านั้น

เผยเคล็ดลับ แผนประกันภัยสุขภาพไทยวิวัฒน์ แอคทีฟ เฮลท์ 

Thaivivat Health แผนประกันภัยสุขภาพไทยวิวัฒน์ แอคทีฟ เฮลท์  

ไทยวิวัฒน์ อัดฉีดคน Active Health‎ ซื้อวันนี้รับเลย Fitbit Versa รับส่วนลดค่าเบี้ยถึง40% เมื่อออกกำลังกายตามเกณฑ์ ให้จ่ายเบี้ยเป็น รายเดือน OPD สูงสุด 3,000.-/ครั้ง IPD ค่าห้องถึง 10,000.- เจ็บป่วย ไม่ต้องสำรองจ่าย คุ้มครองกีฬาอันตราย ดีแบบนี้รีบเลย

ประกันภัยไทยวิวัฒน์ ในฐานะผู้ที่พัฒนาด้านนวัตกรรมประกันภัยมาอย่างต่อเนื่อง ตามแนวคิด  “คิดเผื่อเพื่อทุกชีวิต” และเล็งเห็นถึงความสำคัญ ของการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ใช้บริการให้สามารถมี  Work Life Balance ไปพร้อมๆ กัน จึงเป็นเหตุผลหนึ่งในการสร้างทางเลือกให้กับผู้บริโภคยุคใหม่ โดยการออกผลิตภัณฑ์ “ประกันภัยสุขภาพ ไทยวิวัฒน์ แอคทีฟ เฮลท์” เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการออกกำลังเพื่อสุขภาพ รวมถึงชื่นชอบการใช้เทคโนโลยีด้าน Health Tech และ Wearable Technology ในการส่งเสริมการออกกำลังกายเพื่อเป็นการสร้างวินัย และปรับพฤติกรรมผู้ใช้บริการในระยะยาว รวมทั้งผู้ที่กำลังเริ่มต้นออกกำลังกายให้มีแรงผลักดันในการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพมากยิ่งขึ้น

ประกันภัยไทยวิวัฒน์ ผู้นำด้าน  นวัตกรรมประกันภัยเจาะเทรนด์สุขภาพปี 2018 เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ประกันภัยสุขภาพ “ไทยวิวัฒน์ แอคทีฟ เฮลท์” เพื่อสนับสนุนคนไทยให้แอคทีฟ ยิ่งออกกำลังกาย เบี้ยยิ่งลดสูงสุดถึง 40% ทุกเดือน เนื่องจากประกันสุขภาพที่ บริษัทประกันภัยไทยวิวัฒน์ เปิดตัว จ่ายเป็นรายเดือน มีสัญญา ปีต่อปี

เพียงทำประกันตามเงื่อนไขก็สามารถรับ อุปกรณ์ Fitbit Versa อุปกรณ์ smart watch รุ่นใหม่ล่าสุด มูลค่า 8,500 บาทให้ฟรี เพียงใช้เทคโนโลยี IoT ร่วมกับ Smart Watch และแอปพลิเคชัน Thaivivat Health ช่วย Trackข้อมูลการออกกำลังกาย พร้อมเปิดตัวหนังโฆษณา THAIVIVAT ACTIVE HEALTH และดึงพันธมิตร JOOX, Grab food, Fitbit รวมถึงสถาบันการออกกำลังกายและศูนย์ Fitness ต่างๆ ร่วมมอบสิทธิประโยชน์ให้กับผู้ใช้บริการ

แผนประกันภัยสุขภาพไทยวิวัฒน์ แอคทีฟ เฮลท์ นอกจากจะเป็นแผนประกันที่ช่วยส่งเสริม และสร้างวินัยให้ผู้ใช้บริการใส่ใจสุขภาพแล้ว ยังเป็นแผนที่เพิ่มแรงผลักดันให้ผู้ใช้บริการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยการใช้เทคโนโลยี IoT ร่วมกับอุปกรณ์ Smart watch และนวัตกรรมด้าน Wearable Technology เข้ามาเป็นส่วนเสริมในการ Trackข้อมูลการออกกำลังกาย พร้อมกับแอปพลิเคชัน “Thaivivat Health” ที่ถูกออกแบบเพื่อใช้งานควบคู่กับประกันสุขภาพเพื่อบริการข้อมูลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลด้านสุขภาพ ข้อมูลด้านการออกกำลังกายในแต่ละวัน ช่วยให้ผู้ใช้บริการวางแผนเรื่องสุขภาพได้ รวมถึงสร้างความตื่นตัวให้กับผู้ใช้บริการโดยการนำข้อมูลการออกกำลังกายทั้งหมดมาคิดคำนวณเป็นส่วนลดค่าเบี้ยประกันทุกเดือนได้สูงสุดถึง 40% เพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้บริการเกิดพฤติกรรมการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

นอกจากจะเป็นประกันที่ช่วยสร้างแรงจูงใจในการดูแลสุขภาพ เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาวแล้ว ยังเป็นประกันสุขภาพที่พร้อมดูแลคนไทยแบบครบวงจรโดยให้ความคุ้มครองสูงสุด 1 ล้านบาท/ต่อปี   รักษาได้ทุกโรงพยาบาลในเครือโดยไม่ต้องสำรองจ่าย พร้อมกับค่าห้องผู้ป่วยในสูงสุดถึง 10,000 บาทต่อวัน คุ้มครองทั้ง IPD และ OPD โดย OPD สามารถเบิกได้ถึง 3,000 บาทต่อครั้ง สูงสุดถึง 30 ครั้งต่อปี ที่สำคัญยังคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากการเล่นหรือแข่งขันกีฬาอันตราย โดยสามารถใช้ควบคู่กับสวัสดิการอื่นๆได้ รวมถึงคุ้มครองค่ารักษา จากอุบัติเหตุได้ทั่วโลก

ส่วนของสิทธิประโยชน์ด้านความคุ้มครองนั้น นอกจากจะเป็นประกันที่ช่วยสร้างแรงจูงใจในการดูแลสุขภาพ เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาวแล้ว ยังเป็นประกันสุขภาพที่พร้อมดูแลคนไทยแบบครบวงจรโดยให้ความคุ้มครองสูงสุด 1 ล้านบาทต่อปี รักษาได้ทุกโรงพยาบาลในเครือโดยไม่ต้องสำรองจ่าย พร้อมกับค่าห้องผู้ป่วยในสูงสุดถึง 10,000 บาทต่อวัน คุ้มครองทั้ง IPD และ OPD โดย OPD สามารถเบิกได้ถึง 3,000 บาทต่อครั้ง สูงสุดถึง 30 ครั้งต่อปี ที่สำคัญยังคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากการเล่นหรือแข่งขันกีฬาอันตราย โดยสามารถใช้ควบคู่กับสวัสดิการอื่นๆได้ รวมถึงคุ้มครองค่ารักษา จากอุบัติเหตุได้ทั่วโลก

นายเทพพันธ์ อัศวะธนกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สำหรับทิศทางการตลาดของประกันภัยสุขภาพในปี 2561 นั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ส่วนหนึ่งเป็นไปตามนโยบายภาครัฐที่ให้การสนับสนุนด้วยมาตรการลดหย่อนภาษี ทำให้หลายบริษัทตื่นตัว เร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ หาจุดขายที่หลากหลาย เพื่อนำเสนอให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ประกันสุขภาพไทยวิวัฒน์ แอคทีฟ เฮลล์ จึงถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้บริโภคยุคใหม่ที่มีอิสระในการเลือกใช้บริการและมีความต้องการทั้งสิทธิประโยชน์ด้านความคุ้มครองและความคุ้มค่า เพราะนอกจากจะสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้แล้ว ยังมีอิสระในการกำหนดส่วนลดค่าเบี้ยได้ด้วยตัวเอง ยิ่งออกกำลังกายได้ตามเป้าหมาย เบี้ยประกันยิ่งลดสูงสุดถึง 40% โดยค่าเบี้ย เริ่มต้นเพียง 2,500 บาทต่อเดือน แต่หากออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและได้คะแนนตามเป้า จะสามารถลดค่าเบี้ย โดยจ่ายเบี้ยต่ำสุดเพียง 1,700 บาทต่อเดือนโดยประมาณ พร้อมรับอุปกรณ์ Fitbit Versa อุปกรณ์ smart watch รุ่นใหม่ล่าสุด มูลค่า 8,500 บาท ทันทีที่ทำประกันภัย

พร้อมกันนี้ ยังเปิดตัวหนังโฆษณา ไทยวิวัฒน์ แอคทีฟ เฮลท์ ภายในงานที่สื่อให้เห็นถึง  ความทุ่มเทและความแอคทีฟของคนไทย  ที่ถึงแม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยจากหน้าที่หลัก แต่ก็ไม่เคยละทิ้งสุขภาพ ยังคงดูแลสุขภาพตนเองอย่างสม่ำเสมอ ประกันภัยไทยวิวัฒน์ในฐานะผู้พัฒนาด้านนวัตกรรมประกันภัยมาอย่างต่อเนื่อง จึงขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจที่สนับสนุนให้คนไทยใส่ใจสุขภาพ พร้อมดูแลแบบครบวงจร ด้วยประกันภัยสุขภาพไทยวิวัฒน์ แอคทีฟ เฮลท์ ประกันอัดฉีด คน Active

สนใจรายละเอียดศึกษาข้อมูลก่อนทำประกันได้ที่
www.thaivivat.co.th
Facebook Fanpage ประกันภัยไทยวิวัฒน์
สอบถาม โทร. 02-200-7111

เที่ยวทั่วไทย อร่อยไปทั่วโลก Lifestyle ทันทุกกระแสข่าว การเงิน อสังหาฯ IT บันเทิง แฟชั่น