มหกรรมการอ่านแห่งชาติ “มหัศจรรย์การอ่านเพื่อเด็กปฐมวัย”

28 องค์กร สานพันธกิจระดับชาติ คลายปมวิกฤตพัฒนาการทางด้านภาษาของเด็ก 0-6 ปี

การอ่านสร้างการเปลี่ยนแปลงหลากหลายมิติ  สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน ร่วมกับ แผนแม่บทส่งเสริมวัฒนธรรมการอ่าน  สู่สังคมแห่งการเรียนรู้ของไทย พ.ศ. 2560 – 2564 : กรมส่งเสริมวัฒนธรรม พร้อมด้วยภาคีเครือข่ายส่งเสริมการอ่าน 28 แห่ง จัดงานมหกรรมการอ่านแห่งชาติ  “มหัศจรรย์การอ่านเพื่อเด็กปฐมวัย”

ภายในงาน ประกอบด้วยกิจกรรมที่น่าสนใจและสนุกสนานมากมาย ได้แก่ โซนเวทีมหัศจรรย์การอ่าน พบคนดลใจร่วมสร้างมหัศจรรย์แห่งการอ่าน มหัศจรรย์ลิเกนิทานและการอ่านบนฐานภูมิปัญญา บ้านอ่านยกกำลังสุขและโซนนวัตกรรมชุมชนอ่านยกกำลังสุข โดยเครือข่ายศูนย์ประสานงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่านในชุมชนท้องถิ่น จาก 15 พื้นที่ต้นแบบนำร่อง โซน Reading in Wonderland : ดินแดนนิทานจินตนาการ โซนตลาดนัดนักอ่านจาก 20 สำนักพิมพ์ โซนสานพลังองค์กรร่วมจัด มีกิจกรรมที่น่าสนใจ อาทิ นิทรรศการและกิจกรรมหนังสือดีเพื่อพัฒนาการ EF การขับเคลื่อนจังหวัดแห่งการอ่าน กิจกรรมบ้านนักเขียนหนังสือเด็ก กิจกรรมอ่านสร้างเสริมสุขภาพ ระดมจิตอาสาอ่านหนังสือเสียงให้กับน้องๆ ผู้พิการทางสายตา ฯลฯ


พลอากาศเอก ดร.ประจิน จั่นตอง ประธานคณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวในฐานะประธานเปิดงาน ว่า “จากมติคณะรัฐมนตรีที่เห็นชอบแผนแม่บทส่งเสริมวัฒนธรรมการอ่านสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ของไทย พ.ศ. 2560-2564 ทางรัฐบาลได้มีการกำหนดนโยบายและแนวทางการดำเนินการส่งเสริมสนับสนุนวัฒนธรรมการอ่านเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ของประเทศไทย กำหนดแนวทาง มาตรการเพื่อผลักดันให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของรัฐ กับภาคเอกชน หรือประชาสังคม

โดยมี 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ปลูกสร้างพฤติกรรมรักการอ่านที่เข้มแข็งให้กับคนทุกช่วงวัย อำนวยความสะดวกในการเข้าถึงสื่อการอ่านของประชาชนทั้งในชุมชนเมืองและภูมิภาค ยกระดับคุณภาพแหล่งเรียนรู้และสื่อการอ่านเพื่อการเรียนรู้ และ สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการส่งเสริมการอ่าน โดยเฉพาะเด็กเล็ก เป็นวัยที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เปรียบเหมือนการที่ครอบครัว โรงเรียน ได้ปลูกต้นไม้ รดน้ำ ใส่ปุ๋ย พรวนดินอย่างไร เขาก็จะเติบโตขึ้นมาแบบนั้น หนังสือที่เหมาะสมกับช่วงวัย ก็เป็นสารอาหารชั้นดีที่จะเป็นรากฐานในการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของประเทศอย่างมีคุณภาพ”

ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า   “จากวิกฤตพัฒนาการของเด็กปฐมวัย (0-6 ปี)  ที่สำรวจ
โดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่า พัฒนาการล่าช้าโดยรวมร้อย
ละ 30 และพัฒนาการทางด้านภาษาล่าช้าสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยล่าสุดปี 2557 เฉลี่ยร้อยละ 38.2 ส่งผลเสียต่อการพัฒนาทักษะด้านอื่นๆ อาทิ การสื่อสาร การพัฒนาด้านอารมณ์ สังคม ดังนั้น กิจกรรม มหกรรมการอ่านแห่งชาติ

“มหัศจรรย์การอ่านเพื่อเด็กปฐมวัย” เป็นเวทีแห่งการเรียนรู้ที่จะช่วยพ่อแม่ ครู ได้คัดเลือกหนังสือเด็กให้ลูกๆ และนักเรียนได้อ่าน ขณะเดียวกันจะได้เห็นเทคนิคการอ่าน การส่งเสริมการอ่านมากมาย โดยเฉพาะการเล่านิทาน การอ่านในครอบครัว เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สร้างความสัมพันธ์อันอบอุ่นในครอบครัวด้วย การอ่านตั้งแต่เยาว์วัย เป็นรากฐานสำคัญของการแสวงหาความรู้และสร้างเสริมการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ตลอดชีวิต รวมถึงสร้างเสริมสุขภาพในทุก ๆ มิติ ช่วยหนุนเสริมพัฒนาเด็ก ทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านสติปัญญา ด้านสุขภาพ ด้านจิตใจคุณธรรม และด้านทักษะความสามารถต่างๆ เพื่อให้เด็กพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในการพัฒนาประเทศไทย 4.0”

นางสุดใจ พรหมเกิด ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน สสส. กล่าวเสริมว่า “ในขณะที่หนังสือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการส่งเสริมพัฒนาการเด็ก แต่จากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2558 พบว่า เด็กเล็กยังเข้าไม่ถึงการอ่าน 1.8 ล้านคน และผลสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย พ.ศ.2558 – 2559 ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติด้วยการสนับสนุนขององค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย พบว่า มีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ในประเทศไทยเกือบ 6 ใน 10 คน (ร้อยละ 60) ที่มีหนังสือเด็กอยู่ที่บ้านไม่ถึง 3 เล่ม ในครอบครัวที่ยากจนมากเด็กเกือบ 8 ใน 10 คน (ร้อยละ 77) มีหนังสือในบ้านไม่ถึง 3เล่ม นอกจากนี้ ผลสำรวจยังพบอีกว่ามี “พ่อ”เพียง 1 ใน 3คน ที่ทำกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้กับลูก เช่น อ่านหนังสือหรือร้องเพลงให้ลูกฟังเท่านั้น”

การขับเคลื่อนงานของแต่ละหน่วยงานในปัจจุบันที่ได้นำนโยบายของหน่วยงาน สู่การปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม และเป็นส่วนหนึ่งของการสานพลังขับเคลื่อนแผนแม่บทส่งเสริมวัฒนธรรมการอ่านสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ของไทย อาทิ กศน. มีบ้านหนังสือชุมชนเพื่อขอใช้พื้นที่ในบริเวณบ้านเป็นที่อ่านหนังสือ โดยกระจายให้อยู่ตามหมู่บ้าน จำนวน 19,254 แห่ง มีโครงการห้องสมุดเคลื่อนที่สำหรับชาวตลาด ตามพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ที่ค้าขาย ผู้มาซื้อสินค้ารวมถึงเด็กและเยาวชนเกิดนิสัยรักการอ่าน กรุงเทพมหานครที่เปิดห้องสมุดเพื่อการเรียนรู้ และพัฒนาการอ่านไปสู่โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร มูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก ยังคงเป็นสะพานแห่งความรู้ คู่สะพานแห่งความรักใช้หนังสือถักทอสติปัญญาให้แก่เด็กไทยต่อไป อย่างมีพลัง และเข้มแข็ง อุทยานการเรียนรู้ TK park ที่พัฒนาพื้นที่สร้างสรรค์ให้สังคมไทย ในรูปแบบ”ห้องสมุดมีชีวิต” เพื่อขยายโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ที่ทันสมัยให้แก่เด็ก เยาวชนและประชาชนในทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทย แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่านในการส่งเสริมให้เกิดการใช้กองทุนสุขภาพตำบลเพื่อพัฒนาสุขภาวะเด็กปฐมวัยด้วยหนังสือและการอ่าน ลดความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงสื่ออ่าน และ15 พื้นที่นำร่อง Best Practise การอ่านสร้างการเปลี่ยนแปลงในหลากหลายมิติของศูนย์ประสานงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่านในชุมชนท้องถิ่น เป็นต้น
การอ่านสร้างการเปลี่ยนแปลงในหลากหลายมิติของศูนย์ประสานงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่านในชุมชนท้องถิ่น

นอกจากนี้ ในวันอาทิตย์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2561 คณะทำงานและภาคีเครือข่ายได้จัดพิธีประกาศพันธสัญญาประชารัฐหนุนเสริมแผนแม่บทส่งเสริมวัฒนธรรมการอ่านสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ของไทย พ.ศ. 2560-2564 “เพื่อสานพลังสร้างพลเมืองไทยด้วยการอ่านสู่ Thailand 4.0” โดยมี นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และรองประธานคณะกรรมการบูรณาการการส่งเสริมวัฒนธรรมการอ่านเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ เป็นประธานรับมอบพันธสัญญา จากผู้แทน 28 องค์กร อาทิ กรมอนามัย,
กรมการปกครองส่วนท้องถิ่น, สำนักวัฒนธรรม กีฬา และ การท่องเที่ยวกรุงเทพมหานคร, สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.), สภาการศึกษา, กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์, สมาคมผู้จัดพิมพ์และจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย, มูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก, สำนักงานอุทยานการเรียนรู้ TK park, องค์การยูนิเซฟประเทศไทย, มูลนิธิคนตาบอดไทย, สถาบันอาร์แอลจี (รักลูก เลิร์นนิ่ง กรุ๊ป), โครงการเด็กไทยคิดได้ ต้านภัยสังคม, สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.), มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน แผนงานสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

นิทานคำคล้องจองของเจ้าห่านหน้าบึ้งที่ชื่อ อีเล้งเค้งโค้ง ครองใจเด็กไทยมานานกว่า 20 ปีแล้ว เรื่องและภาพ โดย ครูชีวัน วิสาสะ

นายวีระ   โรจน์พจนรัตน์ กล่าวว่า “การได้เห็นภาพแห่งความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมในงานครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า ทุกหน่วยงานแม้แต่ประชาชนพร้อมที่จะส่งเสริมและพัฒนาเด็กเล็ก เพื่อให้เติบโตด้วยความพร้อมจากการรักหนังสือ มีนิสัยรักการอ่านเป็นพื้นฐาน แผนแม่บทส่งเสริมวัฒนธรรมการอ่านฯ

ด้วยทางกระทรวงวัฒนธรรมไม่สามารถขับเคลื่อนเพียงลำพัง ต้องทำงาน
บูรณาการร่วมกับทุกกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากที่ปัจจุบันสภาพสังคมและเศรษฐกิจของทุกประเทศมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมทั้งเทคโนโลยีสารสนเทศ เข้ามามีบทบาทและอิทธิพลต่อการดำรงชีวิต  ของมนุษย์อย่างมาก ส่งผลให้ทุกประเทศ ต้องปรับตัวกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพ จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งการอ่านและการเรียนรู้ เป็นเครื่องมือและกระบวนการในการพัฒนาคุณภาพประชากรให้เป็นพลเมืองที่มีศักยภาพ มีขีดความสามารถ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี
ที่กำหนดให้ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน มุ่งสู่การเป็ประเทศไทยยุค 4.0

มหัศจรรย์การอ่านเพื่อเด็กปฐมวัย
ระหว่างวันที่ 10-11 ก.พ. 2561 เวลา 9.00-16.00 น.
ณ แอร์พอร์ตเรลลิ้งก์ มักกะสัน

วิวาห์พาฝัน รับตะวันสามแผ่นดิน

วันวาเลนไทน์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561
ณ. ผามออีแดง

Totptotravel ชวนมารับแสงแรก 3 แผ่นดิน  มาเริ่มชีวิตคู่! จังหวัด ศรีสะเกษจัดวิวาห์พาฝัน “วันวาเลนไทน์”   ริมผามออีแดง  ในวันวาเลนไทน์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 ณ ผามออีแดง อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ใกล้ปราสาทเขาพระวิหาร  ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมรับแสงตะวัน แสงแรกในการเริ่มต้นชีวิตคู่ โดยมีกิจกรรมชมทะเลหมอก ชมตะวันสามแผ่นดินโดยพระอาทิตย์จะขึ้นจากทางฝั่งประเทศลาว กัมพูชาและสาดส่องมาถึงฝั่งประเทศไทย ณ บริเวณจุดชมวิว ซึ่งโดยปกติจะมีนักท่องเที่ยว เดินทางขึ้นมาสัมผัสอากาศหนาว ในช่วงตอนเช้าตรู่กันอย่างคึกคัก

เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2561 ที่บริเวณผามออีแดง อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ต.เสาธงชัย  อ.กันทรลักษ์ นายเมธี สุพรรณฝ่าย  รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ พร้อมด้วยนายสมเกียรติ ศรีขาว นายอำเภอกันทรลักษณ์ร่วมกับนายธนา พลอินทร์นักวิชาป่าไม้ชำนาญการ อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร พร้อมด้วยพันเอกจวบ มูลประดับ รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 และส่วนราชการในพื้นที่ ได้ร่วมกันจัดแถลงข่าวการจัดงานฯขึ้น เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยกำหนดจัดกิจกรรมการจดทะเบียนสมรสให้คู่บ่าวสาวชาว  จ.ศรีสะเกษ  และชาวไทยทั่วประเทศในวันที่ 14 ก.พ.61 นี้ ที่บริเวณผามออีแดง ปีนี้ตั้งเป้าหมายจำนวนคู่สมรส 86 คู่

นายเมธี  สุพรรณฝ่าย  รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ  กล่าวว่า  …
กิจกรรม “วิวาห์พาฝัน รับตะวันสามแผ่นดิน”  จังหวัดศรีสะเกษ ประจำปี พ.ศ.2561 ครั้งที่ 4 ครั้งนี้เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว และกระตุ้นเศรษฐกิจพร้อมทั้งคืนความสุขให้กับประชาชนในจังหวัดศรีสะเกษ  และส่งเสริมสถาบันครอบครัวให้เกิดความรัก ให้นักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และความสามัคคี
ของหน่วยงานราชการ ในระยะเวลางาน 3 ปี ที่ผ่านมามีคู่สมรสเข้าร่วม
จดทะเบียน 143 คู่ แขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมงานกว่า 2,400  คน



นายสมเกียรติ  ศรีขาว  นายอำเภอ  อำเภอกันทรลักษ์  กล่าวว่า …
กิจกรรมในครั้งนี้  เพื่อให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่มี
ความประสงค์จดทะเบียนสมรส สามารถสร้างความทรงจำที่ดี  เนื่องในโอกาส สำคัญนี้เพื่อประชาชนทั่วไปที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงสามารถเข้ามา
จดทะเบียนสมรส และถ่ายบัตรประชาชนและ บริการตรวจสุขภาพฟรีในด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว พันเอก จวบ มูลประดับ รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 กล่าวว่าการรักษาความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว และผู้เข้าร่วมกิจกรรมตามโครงการฯ ฝ่ายความมั่นคงได้จัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ตามบริเวณต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวก ให้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรม ตามโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวครบวงจร

นายธนา พลอินทร์  นักวิชาป่าไม้ชำนาญการ กล่าวว่าอุทยานแห่งชาติเขา
พระวิหาร มีพื้นที่ จำนวน 81,250 ไร่ ควบคุมพื้นที่ 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดอุบลราชธานี มีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น จุดชมวิวผามออีแดง สถูปคู่ เสาธงชาติประวัติศาสตร์ และภาพแกะสลักนูนต่ำ ในช่วงนี้อากาศค่อนข้างหนาว ลมพัดแรง อุณภูมิวัดได้ประมาณ 8-12 องศา


นักท่องเที่ยวยังคงเดินทางมาสัมผัสอากาศหนาวตอนเช้าตรู่กันอย่างคึกคัก เพื่อรอชมพระอาทิตย์ขึ้น คู่สมรสหรือคู่รักท่านใด สนใจเข้าร่วมกิจกรรมตามโครงการฯ

สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
ที่ว่าการอำเภอกันทรลักษ์ หมายเลขโทรศัพท์ 045-661422
หรือที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร
หมายเลขโทรศัพท์ 045-826045 , 089- 988 9985 , 081- 264 8727

วัตถุดิบทดแทน ที่มาจากการรีไซเคิลขยะ แปรรูปเป็นพลังงานทดแทน

กระบวนการผลิตแล้วนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ เพื่อเป็นแหล่งทรัพยากรทดแทน!

กพร. ตั้งเป้าส่งเสริมและพัฒนาของเสียเป็นแหล่งทรัพยากรทดแทน เพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย 4.0

กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) ตั้งเป้าส่งเสริมและพัฒนาของเสียเป็นแหล่งทรัพยากรทดแทนด้านแร่ โลหะ และสารประกอบโลหะ เพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย 4.0 เน้นการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้วยนวัตกรรมสร้างการมีส่วนร่วมและการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
ตัวอย่างเศษวัสดุต่างๆ ที่สามารถนำมาใช้รีไซเคิล

นายวิษณุ ทับเที่ยง อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กล่าวว่า… ตามนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมสู่อุตสาหกรรมไทย 4.0 กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีการปรับโครงสร้างกระทรวงอุตสาหกรรมที่เน้นการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้วยนวัตกรรม การสร้างการมีส่วนร่วม และการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่ง กพร. เป็นหน่วยงานหนึ่งที่มีการปรับบทบาทภารกิจและโครงสร้างให้เป็นเชิงรุกมากขึ้น

โดยมุ่งเน้นการดำเนินงานในฐานะที่เป็นหน่วยงานจัดหาและบริหารจัดการวัตถุดิบ เพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านวัตถุดิบให้แก่ภาคอุตสาหกรรม ทั้งวัตถุดิบจากแหล่งแร่ธรรมชาติ (Natural Mineral Resources หรือ Primary Raw Materials) วัตถุดิบทดแทน ที่ได้จากการรีไซเคิลขยะหรือของเสีย (Secondary Raw Materials) และวัตถุดิบขั้นสูง (Advanced Raw Materials) ที่เป็นแร่ โลหะ สารประกอบโลหะชั้นคุณภาพสูง เพื่อรองรับ
การพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายในอนาคตของประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมเดิมที่มีศักยภาพ (First S-curve) ซึ่งได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ และอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร และกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New S-curve) ซึ่งได้แก่ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิง ชีวภาพ และ  เคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิตอล และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร รวมทั้งรองรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ หรือ Mega Projects ของรัฐบาล ซึ่งในการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมาย (ยกเว้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว) และโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ดังกล่าว จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบตั้งต้นที่เป็นแร่ โลหะ สารประกอบจากแร่และโลหะ ที่มีความหลากหลาย มีคุณภาพสูง
มีปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการ และสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก

อพร.เดินชมผลงานจากการใช้เทคโนโลยีรีไซเคิล

นายวิษณุ กล่าวต่อว่า ในเรื่องของวัตถุดิบทดแทนที่มาจากการรีไซเคิลขยะหรือของเสีย กพร. ได้ให้ความสำคัญกับการรีไซเคิลขยะหรือของเสีย เพื่อแยกสกัดแร่และโลหะกลับมาใช้ประโยชน์ รวมถึงแปรรูปเป็นพลังงานทดแทน หรือที่เรียกกันในหลายประเทศว่า   “การทำเหมืองแร่ในเมือง”
หรือ “Urban mining” โดยที่ผ่านมาตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ได้ดำเนินโครงการต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมการนำขยะ วัสดุเหลือใช้ รวมถึงผลพลอยได้ (By-products) จากกระบวนการผลิต กลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ เพื่อเป็นแหล่งทรัพยากร ทดแทนให้แก่ภาคอุตสาหกรรม ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติใหม่ ลดการเกิดขยะและปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดการขับเคลื่อนสู่  Zero Waste Society
โดยอาศัยจุดแข็งของกรมฯ ที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีแต่งแร่ และด้านเทคโนโลยีโลหการ ซึ่งเป็นรากฐานของเทคโนโลยีรีไซเคิล ร่วมดำเนินงานกับที่ปรึกษาที่เป็นผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งนี้ เพื่อให้วัสดุเหลือใช้และกากของเสียที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเฉลี่ย 50 ล้านตันต่อปี กลายเป็นแหล่งวัตถุดิบด้านแร่ โลหะ และพลังงานทดแทนที่สำคัญของประเทศ ซึ่งจากการติดตามประเมินผลการดำเนินงานที่ผ่านมาจากผู้ประกอบการที่ได้รับการฝึกอบรมถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีรีไซเคิลจาก กพร. พบว่า ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มในประเทศจากการลงทุนและ/หรือการรีไซเคิลของเสียเป้าหมาย 100–130 ล้านบาทต่อปี ซึ่งปัจจุบัน กพร. มีเทคโนโลยีรีไซเคิลขยะหรือของเสีย รวม 69 ชนิด โดย 39 ชนิด ได้พัฒนาเป็นเทคโนโลยีรีไซเคิลต้นแบบของ กพร. ซึ่งมีศักยภาพในการถ่ายทอดเทคโนโลยีทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ

และภายใน  เดือนสิงหาคม 2561 นี้  กพร. จะเปิดศูนย์วิจัยและพัฒนาเทค
โนโลยีรีไซเคิลของรัฐแห่งแรกของประเทศ ซึ่งมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลทั้งในระดับห้องปฏิบัติการ (Lab scale) และขยายผล
ไปสู่โรงงานต้นแบบ (Pilot scale) เพื่อผลักดันนวัตกรรมและเทคโนโลยีรีไซเคิลสู่การผลิตในเชิงพาณิชย์ รวมทั้งเป็นต้นแบบให้ผู้ประกอบการได้ศึกษาเรียนรู้กระบวนการรีไซเคิล และการจัดการมลพิษที่เกิดขึ้นตามหลักวิชาการ โดยจะสามารถรองรับการฝึกอบรมถ่ายทอดเทคโนโลยีรีไซเคิล
ให้แก่ผู้ประกอบการ  ทั้งใน Lab scale และ  Pilot scale ได้ไม่น้อยกว่า
200 รายต่อปี

ประเทศไทยมีขยะหรือของเสียเกิดขึ้นเฉลี่ย 50 ล้านตันต่อปี เป็นของเสียครัวเรือน 25-26 ล้านตันต่อปี   โดยมีสัดส่วนการใช้ประโยชน์ในประเทศเฉลี่ยเพียง 18-20% และของเสียอุตสาหกรรม 25-30 ล้านตันต่อปี โดยมีสัดส่วนการใช้ประโยชน์ในประเทศเฉลี่ย 70-75% ซึ่งหากสามารถเพิ่มอัตราการใช้ประโยชน์ของเสียครัวเรือนและอุตสาหกรรมได้อีก 10% มีการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขยะ หรือของเสียที่มีประสิทธิภาพ  และครบวงจรตั้งแต่กิจกรรม/กระบวนการที่ก่อให้เกิดของเสีย กระบวนการคัดแยก การจัดเก็บรวบรวม การขนส่ง การรีไซเคิล การบำบัด และการกำจัด รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีการรีไซเคิลในประเทศ คาดว่าจะมีมูลค่าเพิ่มในประเทศจากการลงทุน/การนำของเสียเป้าหมายกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่เพิ่มขึ้น ไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปี โดยกุญแจสำคัญ คือ การสร้างความร่วมมือแบบ 3 ฝ่าย ระหว่างรัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา ผมมองว่า ด้วยนวัตกรรมและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ เราสามารถเปลี่ยนขยะหรือของเสียให้กลายเป็นแหล่งทรัพยากรทดแทนที่สำคัญ เพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายในอนาคตของประเทศได้ ดังเช่นในประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งหลายประเทศไม่มีแหล่งแร่ธรรมชาติ นอกจากนี้ ยังเป็นการลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติใหม่ ลดการเกิดขยะและปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน ตามแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดการขับเคลื่อนสู่  Zero Waste Society
-นายวิษณุ กล่าวทิ้งท้าย

พร้อมกันนี้ กพร. เตรียมจัดสัมมนาหัวข้อ “Innovation for materials value-added” มีวัตถุประสงค์เพื่ออภิปรายทิศทางความต้องการใช้วัตถุดิบในภาคอุตสาหกรรม  สร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน  ในวันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ 2561
เวลา 08.30 – 15.45 น. ณ ห้องวาสนา 6 – 8 ชั้น 3
โรงแรมโกลเด้น ทิวลิป ซอฟเฟอริน กรุงเทพมหานคร

สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม
ถนนพระรามที่ 6 กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 0 2202 3555
www.dpim.go.th

งานตรุษจีนเยาวราช ประจำปี 2561 ร่ำรวย โชคดี ปีหมาทอง

ฉลองนักษัตรปีจอ ร่วมสืบสาน  ร่วมสัมผัสบรรยากาศมงคล ร่ำรวย โชคดี ปีหมาทอง

งานเฉลิมฉลองประเพณีสำคัญของชาวจีนในท้องถิ่นเยาวราช  เที่ยวชม “งานตรุษจีนเยาวราช ประจำปี 2561” ภายใต้แนวคิด
ร่ำรวย โชคดี ปีหมาทอง

พร้อมใจกันรับเสด็จฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กรุงเทพมหานคร และสำนักงานเขตสัมพันธวงศ์ ร่วมกับคณะกรรมการการจัดงานตรุษจีนเยาวราช ประชาคมเขตสัมพันธวงศ์ สภาวัฒนธรรมเขตสัมพันธวงศ์ ร่วมกันจัดงานตรุษจีนเยาวราชขึ้นในช่วงเทศกาลตรุษจีน

การจัดงานตรุษจีนเยาวราช ปี 2561 ในปีนี้ กำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 16 – 17 กุมภาพันธ์ 2561 ณ บริเวณซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา ถนนเยาวราช และถนนต่อเนื่องบริเวณใกล้เคียง เป็นความร่วมมือระหว่างกรุงเทพมหานคร โดย สำนักงานเขตสัมพันธวงศ์ สภาวัฒนธรรมเขตสัมพันธวงศ์ กลุ่มประชาคมเขตสัมพันธวงศ์ นักธุรกิจ ภาคเอกชน และประชาชนในท้องถิ่น

วัตถุประสงค์ของการจัดงานในปีนี้ เพื่อเป็นการอนุรักษ์ ส่งเสริมวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นให้ธำรงอยู่ และสืบทอดสู่อนุชนรุ่นหลัง อีกทั้ง ยังเป็นการสนับสนุนการจัดงานประเพณีของท้องถิ่นให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ ให้เดินทางมาท่องเที่ยว และร่วมกันเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ (ตรุษจีน) ซึ่งเป็นการส่งเสริมรายได้ และเป็นมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น สำหรับในปีนี้ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานเปิดงาน ในวันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 17.30 น. และในวันเสาร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 19.00 น. ณ บริเวณเวทีใหญ่ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ให้เกียรติมาเป็นประธานกล่าวอวยพรพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีน เนื่องในวันตรุษจีน

ปีมหามงคลนี้ คณะกรรมการจัดงานตรุษจีนเยาวราช ปี 2561 ได้ร่วมกันจัดงานให้ยิ่งใหญ่ มีการแสดงรวมทั้งกิจกรรมให้ชมมากมาย อาทิ การแสดงเชิดสิงโตบนเสาดอกเหมย การแสดงมายากลเปลี่ยนหน้ากากจีน การแสดงดนตรีด้วยเครื่องดนตรีจีน กู่เจิ้ง เอ้อหู ขลุ่ย ขิม การแสดงกายกรรมต่อตัว ไร้กระดูก การแสดงรำพัด นอกจากนี้ ยังมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมพื้นเมืองจากสาธารณรัฐประชาชนจีน บนเวทีหลักให้ชมตลอดงานทั้ง 2 วัน ตั้งแต่เที่ยงวันถึงเที่ยงคืน จึงขอเชิญชวนให้ทุกท่าน มาร่วมงานตรุษจีนเยาวราช
ปี 2561 ในปีนี้ ในชื่องานว่า  “ร่ำรวย โชคดี ปีหมาทอง”

ชื่อภาษาไทย “ร่ำรวย โชคดี ปีหมาทอง”
ชื่อภาษาอังกฤษ “Year of Golden Dog Wealthy Lucky Happiness”

ประธานฝ่ายรับเสด็จพระราชดำเนิน (นายวิศิษฎ์ ลิ้มประนะ) กล่าวถึงการ
เตรียมความ พร้อมด้านการรับเสด็จ ว่า “การจัดงานตรุษจีนเยาวราช ปี 2561 นี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นองค์ประธานในพิธี  เปิดงานตรุษจีนเยาวราช ปี  2561
ณ บริเวณซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา
ในวันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 17.30 น.

ในวันดังกล่าว ได้มีหมายกำหนดการเส้นทางการเสด็จพระราชดำเนิน ดังนี้ ทรงนมัสการพระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือ พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร ณ วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร จากนั้นเสด็จฯ เป็นองค์ประธานเปิดงาน ณ บริเวณซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบ พระชนมพรรษา ทอดพระเนตรการแสดงจากสาธารณรัฐประชาชนจีนและการแสดงจากประเทศไทย ต่อจากนั้นเสด็จ ฯ โดยรถรางไปยังมูลนิธิเทียนฟ้าเพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เจ้าแม่กวนอิม เสด็จฯ ชมบูธต่าง ๆ อาทิ ร้านภูฟ้า, ร้านมูลนิธิสมเด็จพระพันวัสสาฯ, ร้านมูลนิธิเจ้าฟ้าสิรินธร, ร้านมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง, ร้านภัทรพัฒน์, ร้านมูลนิธิรามาธิบดี, บูธสมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย และบูธอาหาร หน้าภัตตาคาร หูฉลามไชน่าทาวน์ สกาล่า สาขา 2 จากนั้นเสด็จฯ ห้างขายยาเซี้ยงเฮงฮั่วกี่ และธนาคารกสิกรไทย (สาขาเยาวราช) แล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินกลับ”

ผู้กำกับสถานีตำรวจนครบาลพลับพลาไชย 2 (พันตำรวจเอก สุวโรจน์ โชติกาญจนรัศมิ์) กล่าวถึงเรื่องการเตรียมการรักษาความปลอดภัยว่า ในการจัดงานตรุษจีน เยาวราช ปี 2561 มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 เรื่อง คือ การจราจร และการรักษาความปลอดภัย

ด้านการจราจรจะมีการปิดการจราจร ตั้งแต่บริเวณซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา ถึง แยกราชวงศ์ โดยจะทำการปิดการจราจร ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 23.30 – 05.30 น. ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2561 จะเริ่มเปิดถนนทางเข้าให้เข้าได้แค่ช่องจราจรเดียว และในเวลา 24.00 น. ของวันดังกล่าว ถึงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2561 เวลา 06.00 น. จะปิดการจราจรเต็มพื้นที่ ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอำนวยความสะดวก ด้านการจราจร และจัดเส้นทางจราจรทางเลี่ยงให้แก่ประชาชนที่มีความจำเป็นจะต้องผ่านบริเวณดังกล่าว

ด้านการรักษาความปลอดภัย ได้มีการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล สถานีตำรวจนครบาลท้องที่ เจ้าหน้าที่เทศกิจ
เจ้าหน้าที่ทหาร พัน.ร.นรด. และ อปพร. เตรียมพร้อมในการดูแลประชาชน
ในด้านความปลอดภัย โดยจะมีกำลัง ทั้งใน และนอกเครื่องแบบประจำในจุดต่างๆ ทั้งพื้นที่ตลอดการจัดงาน รวมทั้งมีการบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิดตลอดเส้นทางการจัดงาน นอกจากนี้ยังได้มีการประสานกำลังเจ้าหน้าที่จากพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อให้การสนับสนุนกรณีเหตุฉุกเฉินต่าง ๆ ด้วย

ประธานประชาคมเขตสัมพันธวงศ์ (นายพินิจ กาญจนชูศักดิ์) กล่าวถึงกิจกรรมภายในงานตรุษจีนเยาวราช ปี 2561 …

การจัดงานตรุษจีนเยาวราช ปี 2561 ในปีนี้ กลุ่มประชาคมเขตสัมพันธวงศ์ นักธุรกิจ ภาคเอกชน และประชาชนในท้องถิ่น ได้ร่วมมือร่วมใจกัน สนับสนุนการจัดงานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวให้กับประเทศไทยและ โดยเฉพาะ การส่งเสริมรายได้ให้กับท้องถิ่นเยาวราช และร่วมกันเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ (ตรุษจีน)

ปีมหามงคลนี้ ได้ร่วมกันจัดงานให้ยิ่งใหญ่ มีการแสดงพิเศษจากศิลปินนักร้องที่มีชื่อเสียงบนเวทีหลัก ให้ชมตลอดงานทั้ง 2 วัน
ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ นี้จะมีคอนเสิร์ต จากฟีล์ม บงกช และศิลปินวงกะลา คืนวันที่ 17 กุมภาพันธ์ เราจะมี คอนเสิร์ตจาก พลพล โตโน่ และวงอินสติงท์ มาร่วมสร้างความสนุกสนาน และความคึกครึ้นให้กับงานตรุษจีน ในปีนี้ และนอกจากนั้นเรายังมีการร่วมสนุกชิงรางวัล โดยทางฮอนด้า ได้มอบมอเตอร์ไซค์ จำนวน 2 คัน และยังมีทองคำและของรางวัลอื่นๆอีกมากมาย ให้สมกับปีมงคล   “ร่ำรวย โชคดี ปีหมาทอง”


ทั้งนี้ กรุงเทพมหานคร โดย สำนักงานเขตสัมพันธวงศ์ ร่วมกับ คณะกรรมการการจัดงานตรุษจีนเยาวราช ปี 2561 ขอเชิญชวน พี่น้องชาวไทยและชาวไทยเชื้อสายจีนทุกท่าน มาร่วมเที่ยวงานเทศกาลตรุษจีนเยาวราช กันให้เนืองแน่น สนุกกับกิจกรรม ลุ้นรับโชค พร้อมไหว้พระ ขอพร เสริมสร้างมงคลแก่ชีวิต แก้ปีชง ตามความศรัทธาของชาวไทยเชื้อสายจีน
ในวันที่ 16 – 17 กุมภาพันธ์ 2561 นี้

คอกีฬาไม่ควรพลาด สปอร์ตบาร์ที่ดีที่สุดในสนามบิน

เชื่อเถอะว่า Touchdown Sports Bar
ดีที่สุดในกรุงเทพ และ อยู่ไม่ไกลจากคุณ

สวัสดีค่ะ ช่วงต้นปีแบบนี้อากาศกำลังดี วันนี้เรา จะพาไปตะลอนกิน-ดื่ม กับค่ำคืนวันอาทิตย์ มาทำให้ทุกวัน ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป Touchdown  Sports Bar บาร์สุดชิคที่ดูแล้วเหมาะสำหรับนั่งเชียร์กีฬา หนึ่งในบาร์สำหรับคนรักกีฬาที่ดีที่สุดในกรุงเทพฯ  คอกีฬาที่ชอบสังสรรค์ หลังเลิกงานพร้อมกับชมแมชต์กีฬาทีมโปรด แถมที่นี่ยังทำให้ประทับใจ ด้วยการเสริฟ  เครื่องดื่มคุณภาพดีๆ หลากหลายแบรนด์ รวมไปถึงอาหารไทย และตะวันตกที่เด็ดที่สุด คือ เบอร์เกอร์เกรดพรีเมียมของที่นี่  อร่อยมาก เราไปดูหน้าตาอาหารและบรรยากาศพร้อมกันดีกว่า

นี่คือหนึ่งในเมนูที่เราชอบที่สุดในวันนี้ค่ะ

วันนี้ได้มีโอกาสมาที่ ร้านทัชดาวน์ สปอร์ตบาร์  ภายใน โรงแรม โนโวเทล สุวรรณภูมิ แอร์พอร์ต แห่งแรกและแห่งเดียวในบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินนานาชาติ ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกมาที่นี่ ได้พบเพื่อนๆ  คอกีฬาที่ชอบมานั่งสังสรรค์หลังเลิกงาน  พร้อมกับการชมแมชต์กีฬา ที่โปรดปราน บรรยากาศของร้านโล่งโปร่ง นั่งสบาย มีหลายมุมที่แตกต่างกันออกไป  ที่นี่ตกแต่งร้านด้วยการใช้โทนสีที่ดูขรึม เฟอร์นิเจอร์หนังสีน้ำตาลและเทา เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของทีมกีฬาที่คุณชื่นชอบด้วยภาพติดผนังและอุปกรณ์การเล่นกีฬาชนิดต่างๆ  เริ่มตั้งแต่ชิ้นใหญ่อย่าง มอเตอร์ไซต์ จักรยาน ไม้กอล์ฟ  ซอฟต์บอล รวมไปถึง กางเกงมวย ที่เป็นของรักของสะสมของท่านผู้บริหารโรงแรมทั้งสิ้น

แวะมาชม แล้วนั่งชิลกับช่วงเวลาแห่งความสนุกสนาน  มาร่วมระเบิดเสียงเชียร์สุดมัน  วันไหนมีบอลคู่เด็ด ดูอยู่บ้านก็เบื่อๆ เหงาๆ เรียนเชิญค่ะ ลอง
มานั่งจิบเบียร์สด พร้อมเชียร์บอลที่นี่  แน่นอนที่สุดว่า  คอกีฬาจะถูกใจกับ
ทีวี LED จอใหญ่จนต้องยกนิ้วให้ Touchdown Sports Bar

เพิ่มบรรยากาศการดูบอล ด้วยบริการและอาหารอร่อย นั่งจิบเบียร์สดเย็นชื่นใจ Novotel Suvarnabhumi Airport Hotel ถือเป็นแหล่งรวมร้านอาหารดีๆ มากมาย Sports bar at Suvarnabhumi area and a perfect place to hang out.

Touchdown Sports Bar at  Novotel Suvarnabhumi  Airport Hotel โรงแรมสมัยใหม่ เพียงแห่งเดียว ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ  มีห้องพักทั้งหมด 612 ห้อง แต่ละห้องได้รับการออกแบบตกแต่งอย่างทันสมัย เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เรียกได้ว่า …  ที่นี่เป็น โอเอซิสใจกลางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แอร์พอร์ต เป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับการผ่อนคลายความเหนื่อยล้าหลังเที่ยวบิน

อีกหนึ่งไฮไลท์ ที่เพื่อนๆ คอกีฬาไม่ควรพลาด ทัชดาวน์  สปอร์ตบาร์ บรรยากาศร้านของที่นี่ชิลมาก นั่งสบายสบาย  ช่างคิดเค้าเอาแรงบันดาล
ใจจากกีฬามาสู่ Touchdown Sports Bar ถือเป็นสภานที่พักผ่อนก่อนออกเดินทางในสนามบินที่สะดวกมาก เดินทางลัดจากโรงแรมเพียง 5 นาที ถึงสนามบินแล้วหรือจะมานั่งแฮงก์เอาท์ดููบอลคมทุกนัด ชัดทุกลีก หรือนั่งรอรับคนสนิท นั่งชิลๆ รอรับเที่ยวบินทั้งในและระหว่างประเทศ อาหารอร่อย ราคาไม่แพง นั่งสบายไม่อึดอัด อีกเมนู โปรดต้องลองทาน ซีโครงบาร์บีคิว  แฮมเบอร์เกอร์   และ Caesar Salad  ซีซาร์สลัด ยิ่งทานคู่กับเบียร์ไปด้วย
ยิ่งเข้ากันดีขึ้นไปอีก บรรยากาศที่เหมาะสำหรับแฟนกีฬาทั้งหลายด้วย โปรเจคเตอร์ และทีวี HD หลากหลายจอ ที่กำลังฉายกีฬาต่างๆ  มากมาย
อีกทั้ง มีระบบเสียงแบบเซอร์ราวด์ ด้านในตกแต่งโทนสีน้ำเทาเข้ม คลาสสิก ทั้งร้านนั่งได้ทั้งหมด  20-200 ท่าน

และอีกเช่นเคย ครั้งนี้ Toptotravel ได้รับเชิญจาก Novotel Suvarnabhumi Airport Hotel  ต้องขอขอบคุณที่เรียนเชิญให้เราได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ ทัชดาวน์ สปอร์ตบาร์ ส่วนเพื่อนๆ ที่ชอบจิบเบียร์สด  แนะนำชวนเพื่อนๆ มาสังสรรค์กันที่ Touchdown Sports Bar ตอนนี้อาหารจากวัตถุดิบธรรมชาติเครื่องดื่มราคาเป็นกันเอง เริ่มต้นที่ 199 บาทเท่านั้น

พร้อมด้วยโปรโมชั่น Happy Hour  ทุกวัน   เวลา 17.30 – 18.30 น.
ใครขับรถมาสามารถจอดในโรงแรมได้เลย  สั่งเบียร์สดในราคาพิเศษ นอกจากนี้ ทัชดาวน์  สปอร์ตบาร์ ยังมีโปรโมชั่นเมนูพิเศษประจำเดือน สามารถติดตามได้ใน https://www.facebook.com/NovotelBangkokSuvarnabhumiAirport/

Novotel Suvarnabhumi Airport Hotel
Touchdown Sports Bar ชั้น G
999 Suvarnabhumi Airport Hotel
กรุงเทพมหานคร 10540 โทร. 02 131 1111

 

อร่อยเด็ดถึงเจ็ดโลก! ลองยังอาหารไร้เนื้อสัตว์อาหารเพื่อสุภาพ

Ben Flavour Restaurant อาหารสุขภาพ

การดูแลเอาใจใส่สุขภาพ อย่ารอจนกว่า คุณจะป่วยแล้วค่อยหามาทาน
ต่อไปนี้  หันมาเลือกทานอาหารเพื่อสุขภาพอาทิตย์ละครั้ง เราไม่สามารถลดละเลยได้ก็จริง แต่เราสามารถเลือกบริโภคได้ เริ่มต้นง่ายๆ จากการกินอาหารเมนูอาหารมังสวิรัติที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย หันมาดูแลเอาใจใส่สุขภาพโดยเริ่มต้นจากการกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อาหารสุขภาพสไตร์คนรักสุขภาพ แบบคนรุ่นใหม่เราใส่ความคิดสร้างสันลงไปรสนิยมรสชาติ “อย่างจุดเด่นของอาหารจีน ต้องไม่มันรสชาติกลมกล่อม วัตถุดิบเครื่องปรุงจะต้องดี ใส่ใจพิถีพิถันเป็นเรื่องสำคัญ

วันนี้แนะนำร้านอร่อย ย่านพระราม 9  สำหรับคนรักการกินผัก หลากหลายเมนูที่นี่เลือกสรรคสูดรเด็ดสุดเด็ดโดยเฉพาะ  เมนูที่ช่วยล้างพิษ พิชิตโรค Benflavour (เบน เฟลเวอร์) ร้านอาหารมังสวิรัติ อาหารหน้าตา รสชาติอร่อย และหากินไม่ได้ที่ไหน เพราะ ที่นี่อาหารเจ และมังสวิรัติ 100 เมนู

สูตรอาหารมังสวิรัติไม่ได้มีแค่เมนูผักเพื่อสุขภาพเท่านั้น ตอนนี้กลับเป็นตัวเลือกและหลักปฏิบัติต้นๆ สำหรับคนที่อยากดูแลรูปร่าง การที่เราอยากจะมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง

นอกเหนือจากการออกกำลังอย่างสม่ำเสมอแล้ว การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เลือกอาหารที่สะอาด มีประโยช์ต่อร่างกาย ถือเป็นสิ่งที่สำคัญ ร้านอาหาร เบนเฟลเวอร์  ร้านเดียวในกรุงเทพ ที่มีอาหารให้เลือกหลายรสชาติการตกแต่ง รวมไปถึงการบริการทุกอย่าง เป็นเทสของ Ben FLavour

วรัญญู ชัยเฉลิมมงคล (เบน) ฟู้ด เจ้าของร้าน Ben FLavour

วรัญญู ชัยเฉลิมมงคล (เบน) ฟู้ด เจ้าของร้าน Ben FLavour เชฟหนุ่มที่ไม่ได้เรียนการทำอาหาร  แต่มีความสามารถสร้างสรรค์เมนู อาหารเจ และ มังสวิรัติ ได้อย่างลงตัว ตอนเด็กรักการทำอาหาร  เป็นลูกมือแม่ในครัวเสมอ   (แม่เป็นคนเวียดนาม พ่อเป็นคนจีน) ประสบการณ์ดีดีเหล่านี้เกิดจาก ครอบครัวเปิดร้านอาหาร ได้ช่วยเป็นลูกมือพ่อ-แม่ ช่วยให้ชิม ช่วนเตรียมวัตถุดิบ ช่วยปรุงซึมซับเทคนิคมาเป็นสุดยอดเชฟชื่อดังจนถึงทุกวันนี้

จาก “Veggie Fusion” และต่อยอดมาเป็นร้านอาหาร Ben Flavour Restarant

อาหารเจ และ มังสวิรัติ  อร่อยและสวยงามอย่างเหลือเชื่อ คุณเบน บอกว่าเริ่มต้นตัดสินใจเปิดร้าน เพราะเป็นคนชอบทำอาหารมาก และอาหารประเภทที่ทานแล้วได้ประโยชน์ต่อสุขภาพ และการชอบเสิร์ฟอะไรแปลกๆ  ได้ลองลงมือด้วยตัวเอง   หลายเป็นจุดเริ่มต้นของร้าน Ben FLavour

สายเฮลธ์ตี้ผู้รักสุขภาพโดยเฉพาะ มาดูกันว่า อาหารสุขภาพ อาหารมังสวิรัติกินอะไรได้บ้าง?  เมนูอาหารเจ และอาหารมังสวิรัติที่ห้ามพลาด วันนี้มาดูเมนูอร่อยๆ ทานกันค่ะ

ขนมปังตับบด Ben FLavour
หมี่อายุยืน Ben FLavour
ข้าวหม้อแม่นาก Ben FLavour
ยำมะเฟือง Ben FLavour
จานนี้ของแนะนำ ปลาม้วนผักสด Ben FLavour

เบน ‘เฟลเวอร์’ มีความตั้งใจอยากให้ลูกค้าได้ทานอาหาร มังสวิรัติ เพื่อสุขภาพที่ดี ทุกเมนูสร้างความแตกต่าง และ สร้างแรงบันดาลใจให้สังคมตื่นตัว บรรจงสร้างเมนูพิเศษขึ้นด้วยมากกว่า 100 เมนู ทุกเมนูถูกคัดสรรวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน การเลือกอาหารที่สดใหม่ สะอาด มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ไม่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบ

จุดเด่นของ เบน เฟลเวอร์ รสชาติของอาหารทุกจาน ต้องไม่มัน กินแล้วไม่เลี่ยน รสชาติกลม อาหารหน้าตาออกมาน่าทาน

บรรยากาศและการตกแต่งร้าน สไตล์อาเซียน  Mix & Matched Traditional  มีกลิ่นอายสไตล์จีน ผสมเวียดนาม ด้วยการเอาของสะสมมาตกแต่งร้าน จึงออกมาดูเก๋ๆ กลิ่นอายจีนๆ  โดยการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์คลาสสิกแอนทีค สไตล์การตกแต่งที่โดดเด่นและเมนูอาหารที่อร่อยและได้สุขภาพ แต่ในบรรยากาศแบบนี้สามารถเสิร์ฟอาหารได้ทุกประเภท

ร้านอาหาร เบนเฟลเวอร์ (Ben Flavour Restaurant) ร้านอาหารเพื่อสุขภาพ เมนูของร้านไม่เหมือนใครในโลก มีหลายอย่างที่คุณจะไม่สามารถหากินได้ที่ไหนในโลกนี้ทุกเมนูเป็นอาหารมังสวิรัติ ปราศจากเนื้อสัตว์เพื่อสุขภาพที่ดี อิ่มท้องและอิ่มบุญไปพร้อมกัน

เพื่อนๆ  มีเวลาลองแวะไปชิมกันนะคะคนรุ่นใหม่ใส่ใจรักสุขภาพ อิ่ม อร่อย และได้บุญด้วย มาทานที่ ร้านเบน เฟลเวอร์ ได้ทานอาหารเจ และ มังสวิรัติสัตว์สไตล์ฟิวชั่น อาหารสุขภาพสไตล์คนรุ่นใหม่ เลือกออกร้าน จัดงานเลี้ยง ด้วยอาหารสุขภาพสไตล์คนรุ่นใหม่  Toptotravel แนะนำร้านนี้ค่ะ

เบนเฟลเวอร์ Ben Flavour Restaurant
ที่อยู่ : 589-589/1 ซ.พระรามเก้า ซอย 51 ถ.พระราม 9 สวนหลวง
กรุงเทพฯ 10250
โทรศัพท์ : 096 191 9159
เว็บไซต์ : https://www.facebook.com/Benflavour

การค้นพบไม่มีวันสิ้นสุด EXPLORE ENDLESSLY

เปิดตัวอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว
ณ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ

คิง เพาเวอร์ รางน้ำ ขึ้นแท่นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพมหานคร ศูนย์รวมสินค้าปลอดภาษีชั้นนำ ไลฟ์สไตล์ และความบันเทิงครบวงจรระดับโลก ภายใต้คอนเซ็ปต์  EXPLORE ENDLESSLY  สุดอลังการ เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว

คิง เพาเวอร์ รางน้ำ สัญลักษณ์ใหม่แห่งกรุงเทพมหานคร ความภาคภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกพร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการอย่างยิ่งใหญ่ เนรมิตพื้นที่กว่า 22,000 ตารางเมตร ด้วยงบประมาณกว่า 2,500 ล้านบาท ให้เป็นมากกว่าดิวตี้ฟรี ด้วยนิยามใหม่ EXPLORE ENDLESSLY เพราะการค้นพบไม่มีวันสิ้นสุด เปิดตัวอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว ณ. คิง เพาเวอร์ รางน้ำ เมื่อวันก่อน  โดย นายอัยยวัฒน์  ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม บริษัท คิง เพาเวอร์ -กล่าวว่า

“คิง เพาเวอร์ รางน้ำ จะเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่แห่งธุรกิจค้าปลีกสินค้าปลอดภาษี ที่เพียบพร้อมสมบรูณ์แบบ โดยรวบรวมสินค้าที่ดีที่สุดของไทยกับของโลกมาไว้บริการที่นี่และการบริการเหนือระดับในทุกมิติเพื่อเป็นสัญลักษณ์ใหม่แห่งกรุงเทพมหานคร ที่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวคนไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ผมเชื่อมั่นว่า คิง เพาเวอร์ รางน้ำจะเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวระดับเวิลด์คลาสที่สร้างประสบการณ์แปลกใหม่ในทุกมิติ สำหรับทุกนักเดิน และจะมีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการใช้จ่ายในประเทศได้ในระยะยาว พร้อมทั้งเสริมสร้างภาพลักษณ์อันดีให้กับประเทศชาติ และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป”

สำหรับ บรรยากาศภายในงานถูกเนรมิตให้แขกผู้มีเกียรติ วีวีไอพีทั้งชาวไทย และต่างชาติ ได้สัมผัสกับบรรยากาศตื่นตาตื่นใจ แห่งโลกการเดินทางที่ไร้ขีดจำกัดในทุกมิติของคิง เพาเวอร์รางน้ำ โฉมใหม่ ตั้งแต่ทางเข้าไปจนถึงด้านใน โดยในแต่ละชั้นจะอัดแน่นไปด้วยความตื่นตาตื่นใจ และกิจกรรมพิเศษมากมาย

โดยไฮไลท์ในงานที่สะกดทุกสายตา เริ่มต้นด้วยเริ่มด้วยการแสดงชื่อดัง ‘Overture Performance’ กายกรรมลอยฟ้าด้วยบอลลูน 250 ลูก จากประเทศอิตาลี ต่อมาเป็นการแสดงม้าจริงประกอบเทคนิคแสงสีเสียงสุดอลังการ ‘Spirit of Travel’ ผสมผสานกับการแสดงหนังใหญ่ ซึ่งออกแบบและผลิตใหม่ทั้งหมดเพื่องานนี้เท่านั้น ออกแบบท่าเต้นโดยอาจารย์โจ้– สุธีศักดิ์ ภักดีเทวา บอกเล่าเรื่องราวการเดินทางที่รวมโลกตะวันตก และตะวันออกเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว ช่วงไฮไลท์ฟินาเล่เป็นการเปิดตัว Global Ambassador นั่นคือ ซุปเปอร์สตาร์สาวสวย ฟ่านปิงปิง เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีอาฟเตอร์ปาร์ตี้สุดมัน ด้วยคอนเสิร์ตจาก วงบอดี้สแลม และไทเทเนียม เรียกเสียงกรี๊ดกันสนั่นทีเดียว

ในส่วนของแขกผู้มีเกียรติและเซเลบริตี้ที่มาร่วมงานได้สัมผัสกับประสบการณ์สุดพิเศษ พร้อมเลือกช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมชั้นนำจากทั่วมุมโลก เช่น สองสาวสวยอย่าง ดวงกมล เหลืองโรจนกุล และอภิญญา โดลแลน ควงคู่กันมา บอกว่า “ชอบช้อปกระเป๋าและเครื่องสำอางที่สนามบินเป็นพิเศษ ตอนนี้ไม่ต้องรอไปถึงสนามบินแล้วค่ะ” ในส่วนของ ชโลทร เจริญรัตน์ปัญญา, เบญจพร คลองลาภยศ, ชนานิกานต์ วัฒนพงษ์วานิช กล่าวถึงการปรับโฉมครั้งนี้ว่า “ปกติช้อป คิง เพาเวอร์ เป็นประจำที่สนามบิน ชอบช้อปเครื่องสำอาง อย่างที่นี่ดูใหญ่น่าช้อปขึ้นกว่าเดิมถ้ามีเวลาก็จะมาที่ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ ด้วย” มาดูทางฝากฝั่งหนุ่มหล่อรักการแต่งตัวอย่าง วราภุช คูหาเปรมกิจ และวรรคสร โหลทอง พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “งานวันนี้อลังการดี กว้างขวาง ชอบช้อปน้ำหอมที่สนามบินและที่สาขา รางน้ำ”


สำหรับ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ นับจากนี้ไปจะกลายเป็นแลนมาร์คแห่งใหม่ แห่งมหานครกรุงเทพที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวคนไทยทั่วประเทศและนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลก เพราะที่นี่คือสวรรค์แห่งการช้อปปิ้งที่พรั่งพร้อมไปด้วยสินค้าดิวตี้ฟรีที่ครอบคลุมทุกความต้องการในทุกไลฟ์สไตล์ของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นสินค้าลักชัวรี่ แบรนด์เนม เครื่องสำอาง น้ำหอม นาฬิกา แว่นตากันแดด และของฝากที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน รวมทั้งสินค้าภูมิปัญญาไทยฝีมือประณีตที่ได้รับการชื่นชมไปทั่วโลก นอกจากนี้ ยังพร้อมไปด้วยร้านอาหารชั้นนำทั้งสตรีทฟู้ด อาหารไทย และอาหารนานาชาติ และพื้นที่กิจกรรมความบันเทิง เพื่อเติมความเพลิดเพลิน และความสุขแบบไม่รู้จบให้กับนักเดินทางแบบ 360 องศาในที่เดียว

สโลว์ไลฟ์สุดใจที่ อลงกรณ์ ฟาร์ม & รีสอร์ท แก่งกระจาน

เมล่อนฟาร์มหนึ่งในโครงการศูนย์การเรียนรู้ เข้าไปอยู่ใน อลงกรณ์ฟาร์ม แอนด์ รีสอร์ท

เมื่อวันหยุดที่ผ่านมา Toptotravel มีอีกหนึ่งประสบการณ์ดีๆ มาเล่าสู่กันฟังได้โอกาสพบ ท่านอลงกรณ์ พลบุตร เจ้าของ รีสอร์ท  Home  Made  สรรค์สร้างจนเกิดศูนย์การเรียนรู้แห่งใหม่ สไตล์บ้านเล็กในป่าใหญ่ ในวิสัยทัศน์มุมมองแนวทางที่แตกต่างออกไป มีอุดมการณ์  มีความเชื่อ  มีความฝัน ท้าทายความสามารถตัวเอง ด้วยการปฎิรูปด้านเกษตรไทย เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์ และเป็นการกระจายรายได้ โอกาส และความมั่งคั่งที่เกิดขึ้นผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ การปฏิรูปการวิจัยและการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้คนในชาติ ด้วยศาสตร์ของพระราชา

ด้วยปณิธานที่แน่วแน่ของคุณ อลงกรณ์ พลบุตร มุ่งสู่ อลงกรณ์ ฟาร์ม แอนด์รีสอร์ท ศูนย์ Training Center ที่ครบวงจร พร้อมที่พักหลากหลายสไตล์เพื่อเตรียมความพร้อมในการเรียนรู้และพักผ่อนอย่างเต็มที่

บ้านพักบนต้นไม้ สไตล์อลงกรณ์ พลบุตร

แน่นอนว่า แนวคิดที่ยิ่งใหญ่ของคุณ อลงกรณ์ พลบุตร ไม่ได้เกิดขึ้นจากการขบคิดเพียงชั่วข้ามคืน  แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงก็เช่นกัน  นี่จึงเป็นสาเหตุให้ คุณอลงกรณ์ พลบุตร นำเสนอประสบการณ์ท้องถิ่น และมุ่งสนับสนุนเศรษฐกิจชุนชนอย่างโดดเด่น แนวคิดที่เรียบง่าย แต่ลึกซึ้ง สอดคล้องกับ เทรนด์ท่องเที่ยว Experiential Travel ที่กำลังเบ่งบานทั่วโลก  การท่องเที่ยวตามศาสตร์พระราชา สู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน

การดูแลเอาใจใส่ในรายละเอียดทุกๆ ขั้นตอนของการปลูก เมล่อนสายพันธุ์แท้จากญี่ปุ่น คือสิ่งสำคัญเพื่อให้ได้ผลผลิตที่งอกงามและคุณภาพเกินราคา มีจำหน่ายที่ อลงกรณ์ฟาร์ม แอนด์ รีสอร์ท ภายใต้ชื่อ “ไดยะมอนโดะ” ความหอมหวานน่าทาน หรือสามารถไปเลือกเก็บจากต้นหรือสั่งซื้อพร้อมจัดส่งทั่วประเทศแล้ววันนี้

โครงการกุ้งคอนโด


กุ้งออร์กานิค ศูนย์สาธิตระบบเลี้ยงแบบขุนสัตว์น้ำ เริ่มจาก โครงการกุ้งคอนโด เริ่มทะยอยนำกุ้งก้ามแดงซึ่งย้ายจากบ่อกุ้งใส่ในกล่องเลี้ยงที่มีระบบน้ำหมุนวนและระบบกรองพิเศษ เพื่อรักษาคุณภาพน้ำและคุณภาพกุ้ง ผลผลิตที่ได้จะใช้บริการลูกค้าของรีสอร์ทและส่งออกต่างประเทศ

อยากไปแล้วสิ การเดินทางเริ่มต้นจากที่ไหนก็แล้วแต่ ให้มาลง ต.สองพี่น้องอ.แก่งกระจาน เพชรบุรี จังหวัดที่รายล้อมด้วยทิวทัศน์ภูเขา เมฆหมอก ป่าไม้ โค้งน้ำขนาดใหญ่ ทิวเขา และ ธรรมชาติ ที่หาได้ยากในเมืองกรุง ที่นี่เป็นแหล่งรวมโอโซนบริสุทธิ์ การได้มาพักผ่อนที่ ฟาร์มแห่งนี้ เปรียบเสมือนได้ชาร์จพลังให้กับร่างกายไปในตัว

บรรยากาศริมน้ำชุ่มชื่นปอด นอนกอดธรรมชาติ Alongkorn Farm & Resort

หลังจากกลับจากทริป  แก่งกระจาน กลับมาคิกว่า การท่องเที่ยวไม่ใช่แค่ไปนอนเล่น ชมวิว ล่องแม่น้ำเพชรบุรี  แก่งกระจานมีสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนมากมาย เหมาสำหรับทุกครอบครัวอย่างลงตัว ระหว่างเส้นทางแก่งกระจานมีรีสอร์ทสวยๆ ร้านอาหาร ร้านกาแฟที่น่ารัก กิจกรรมอื่นๆ อย่างเช่น ชมไร่
สตรอว์เบอร์รี ฟาร์มเมล่อน หรือเลือกซื้อเมล่อนหวาน ละมุนลิ้น

วินาทีแรกที่ได้เข้ามาวิวหน้ารีสอร์ทสวยมาก จะเห็นรีสอร์ หรือที่พักรอบๆ หน้าตาธรรมชาติแบบนี้นี่ล่ะ….

เดี๋ยวเข้าไปดูข้างใน บรรยากาศภายในที่ รีสอร์ท ที่เป็นมากกว่าฟาร์ม มาเที่ยวด้วย มาทัศนศึกษา รับรองว่าจะลืมอารมณ์เบื่อๆ เซ็งๆ เพราะที่อลงกรณ์ฟาร์ม แอนด์ รีสอร์ท ที่นี่คือดินแดนที่รวบรวมความเป็นธรรรมชาติ สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ  มาเที่ยวที่ฟาร์มช่วงนี้  ชิมเมล่อนญี่ปุ่นหอมหวาน หากเริ่มเหนื่อยจากความร้อน  ลองมาเติมความสดชื่น กับน้ำเมล่อนปั่นอร่อยๆ ให้ซื้อทานกัน

Alongkorn Farm & Resort  แหล่งเรียนรู้ ทั้งคนไทย และ ต่างชาติ ได้ทำความ รู้จักความเป็นอยู่บ้านเล็ก ในป่าใหญ่ และเศรษฐกิจพอเพียงตามศาสตร์พระราชา มีพื้นที่ให้ปั่นจักรยานยามเย็น และมีกิจกรรมต่างๆ ให้เล่น
มีพื้นที่กางเต็นท์ติดทิวเขาเน้นธรรมชาติ พร้อมบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกสุดแสนประทับใจ

นอกจากนี้ยังมีสวนสนุกและสวนน้ำ ให้คุณสนุกสุดมันส์ท่ามกลางบรรยากาศขุนเขา พื้นที่กว้างขวาง จะกลิ้ง จะวิ่งทั่วแค่ไหนก็ไม่มีที่สิ้นสุด เป็นรีสอร์ทที่เข้าพักแล้วรู้สึกว่า อยากหยุดเวลาไว้ที่นี่จังและคิดว่า ตัวเองพลาดเป็นอย่างมาก ที่เลือกมานอนที่นี่แค่คืนเดียว

 

 

เริ่มจากห้องพัก ความลับเล็กๆ น้อยๆ ที่คอยคุณไปพบ ที่พักของเราอยู่คน
ละตึกกับที่มาเช็คอิน โดนรอบๆ เป็น รีสอร์ที่หรูหราและเรียบง่าย สบายๆ ห้องพักทุกห้องหันหน้าเข้าหาธรรมชาติ แต่ที่ไหนได้ เปิดห้องมาถึงกับตกใจ ห้องใหญ่และใหม่มาก ที่สำคัญ มีความเป็นส่วนตัว และบรรยากาศดีมากๆ ห้องน้ำขนาดใหญ่ สะอาดสะอ้าน มีผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดผม และของ
ใช้ต่างๆ ในห้องน้ำเตรียมไว้ให้พร้อม

ห้องพักมีระเบียงให้ออกไปดูดาวยามค่ำคืน หรือดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าก็ได้ได้ชื่นชมภูเขาเขียวๆ เพราะจะได้เห็นหญ้าสีเขียวๆ สุดลูกหูลูกตา ในตอนกลางวัน และใกล้ชิดกับแสงดาวสะท้อนโค้งน้ำในตอนยามค่ำคืน มุมมองจากหน้าต่าง ห้องพักสไตล์ลอฟท์  เป็นห้องพักที่มีห้องน้ำในตัว ใครชอบธรรมชาติรักความสงบ ชื่นชอบ อลงกรณ์ ฟาร์ม &  รีสอร์ท ตอบสนองช่วงเวลาวีคแอนด์ของคุณได้อย่างคุ้มค่าที่สุดอย่างแน่นอน

ห้องพักสไตล์ลอฟท์ : ห้องโล่งโปร่งสบาย ภายในตกแต่งแบบเรียบง่ายเหมาะสำหรับลูกค้าทั้งแบบกลุ่มและแบบพักผ่อนส่วนตัว บริเวณด้านหน้าห้องพักมีสนามหญ้าโล่ง สามารถใช้ทำกิจกรรมหรือจัดปาร์ตี้ในช่วงกลางคืนได้อย่างลงตัว

บ้านพักสไตล์ลอฟท์ : ริมลำธาร 14 ยูนิต เพื่อเตรียมความพร้อมในการเรียนรู้และพักผ่อนอย่างเต็มที่

ห้องพักสไตล์บ้านถ้ำ เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่เด็กๆชอบค่ะ ในวันหยุดนี้ พาบุตรหลานมาใช้ชีวิตนอกห้องแอร์ ปั่นจักรยาน ถีบเรือเป็ด ให้อาหารปลาหลากหลายพันธุ์ในสระน้ำ

เมื่อไปยืนตรงกลางสะพานจะสามารถมองเห็นได้รอบๆ อลงกรณ์ฟาร์มแอนด์รีสอร์ท

บ้านพักบนต้นไม้ สไตล์อลงกรณ์ พลบุตร
ลานกางเต้นท์สุดชิวสูดอากาศธรรมชาติได้เต็มปอด พร้อมบริการเช่าเต้นท์และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

Alongkorn Farm & Resort
อลงกรณ์ ฟาร์ม & รีสอร์ท
ม. 1 ต.สองพี่น้อง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี
Tel. 091-701-0000

#อลงกรณ์ฟาร์มแอนรีสอร์ทแก่งกระจานเพชรบุรี
#ขยายผลศาสตร์พระราชา #อลงกรณ์ฟาร์มแอนด์รีสอร์ท

อมตะ ปรับโฉมธุรกิจครั้งใหญ่รับยุค 4.0

ชูวิสัยทัศน์มุ่งสู่ผู้นำสมาร์ทชิตี้ระดับโลก

“อมตะ” พลิกโฉมครั้งใหญ่ ปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์และพันธกิจใหม่นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบ “โลโก้” และชื่อเรียกโครงการจาก “อมตะนคร” สู่ “อมตะ ซิตี้ ชลบุรี” และ “อมตะ ซิตี้” สู่ “อมตะ ซิตี้ ระยอง” มุ่งสู่ความเป็นสากลที่ทันสมัย สอดรับเป้าหมายการยกระดับนิคมอุตสาหกรรมสู่ผู้นำเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ระดับโลกหวังเป็นแม่เหล็กดึงนักลงทุนรับอีอีซี พร้อมเผยแผนเตรียมขยายฐานลงทุน  ตั้งเมืองอุตสาหกรรมสมบูรณ์แบบในประเทศพม่า เปิดอมตะคาสเซิลชิมรางจัดงาน  “AMATA SMART  CITY EXHIBITION”  วันที่ 18-20 มกราคม 2561 จัดแสดงนวัตกรรมแห่งอนาคตและเทคโนโลยีที่ทันสมัย จากบริษัทชั้นนำระดับโลก  ที่มีสายการผลิตในเมืองอุตสาหกรรมอมตะกว่า 40 บริษัท เป็นศูนย์กลางการพบปะสู่ความร่วมมือทางธุรกิจการค้าการลงทุนยุค 4.0

นายวิกรม กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน)นายวิกรม กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่ากลุ่มบริษัทอมตะได้จัดงานประจำปี 2561 ชื่อว่า AMATA BEYOND 2018 ภายใต้แนวคิด “Towards Smart City” พร้อมกับจัดการแสดงนิทรรศการ “AMATA SMART CITY EXHIBITION” ขึ้นเป็นครั้งแรก ในวันที่ 18-20 มกราคม 2561 ณ อมตะคาสเซิล จ.ชลบุรี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเวทีสำหรับลูกค้า คู่ค้า นักลงทุนจากต่างประเทศ นักศึกษา และบุคคลที่สนใจ เพื่อทำความรู้จักแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและสร้างเครือข่ายระหว่างกัน โดยมีบริษัทชั้นนำระดับโลกที่มีสายการผลิตในเมืองอุตสาหกรรมอมตะ ตลอดจนบริษัทในเครืออมตะและคู่ค้าของอมตะ กว่า 40 บริษัท แบ่งเป็นผู้ประกอบการภายในอมตะ 21 บริษัท บริษัทในกลุ่มอมตะและคู่ค้า 15 บริษัท สถาบันการศึกษา 8 สถาบัน ร่วมจัดแสดงผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยต่างๆ ในงาน รวมถึงการแนะนำโครงการในปัจจุบันและโครงการใหม่ของอมตะด้วย อีกทั้งมีการจัดการบรรยายพิเศษในหัวข้อนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมการก้าวไปสู่เมืองอัจฉริยะ จากผู้นำองค์กรชันนำระดับโลกที่จะนำไปสู่การสร้างเครือข่ายด้านการค้าการลงทุน โดยงานดังกล่าว  เปิดให้นักศึกษาและบุคคลทั่วไป

“การจัดแสดงนวัตกรรมและกิจกรรมพิเศษต่างๆ ในครั้งนี้ เป็นโอกาสอันดีสำหรับทุกคนที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์ใหม่  และเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างกัน รวมถึงมองหาโอกาสทางธุรกิจ นอกจากนี้ อมตะหวังว่าการจัดแสดงนวัตกรรมจะจุดประกายและสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ให้สนใจศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากขึ้น เพื่อให้เป็นกำลังสำคัญของประเทศในการพัฒนา และก้าวหน้าต่อไป”  -นายวิกรม กล่าว

สโลแกนเป็น Possibilities Happen หรือ “ให้สิ่งดี ๆ เกิดขึ้นได้”

นายวิกรม กล่าวต่อว่า ในปีนี้กลุ่มอมตะได้กำหนดแผนการดำเนินงานระยะ 5 ปีมุ่งสู่การเป็นผู้นำเมืองอัจฉริยะ (Smart City)ระดับโลก โดยปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์และพันธกิจใหม่ให้สอดรับกับการพัฒนาที่ไม่หยุดยั้ง ทันต่อการเปลี่ยนแปลงไม่สิ้นสุดของเทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งอนาคต พร้อมก้าวสู่ยุค 4.0 ที่จะพัฒนาเมืองอัจฉริยะและศูนย์การเรียนรู้ในภูมิภาคและจะเป็นพื้นที่การลงทุนที่สมบูรณ์แบบในระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษ  ภาคตะวันออก(อีอีซี) ซึ่งการปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์จากผู้นำการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมระดับโลกสู่ การสร้างและพัฒนาให้เกิดเมืองที่สมบูรณ์แบบ (Perfect City) เมืองที่มีการพัฒนา และ สร้างสรรค์ให้เกิดแต่สิ่งดีๆ  มีประโยชน์ต่อทุกคนที่อยู่ในเมือง และปรับเปลี่ยนพันธกิจใหม่จากพัฒนาเมืองที่มีความทันสมัย บริการคุณภาพ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สู่การยึดมั่นในวัฒนธรรมของการให้ทุกคนได้รับประโยชน์ได้สิ่งที่ดี ด้วยความมุ่งมั่นในการบุกเบิกและค้นหานวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะสร้าง Smart City (เมืองอัจฉริยะ) ที่ซึ่งชีวิตมีคุณภาพ และยกระดับชีวิตให้มีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้น นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงโลโก้และชื่อเรียกโครงการใหม่จาก อมตะนคร สู่ “อมตะ ซิตี้ ชลบุรี” และอมตะ ซิตี้ สู่ “อมตะ ซิตี้ ระยอง” เพื่อมุ่งสู่ความเป็นสากลความทันสมัยสอดรับเป้าหมายการยกระดับนิคมอุตสาหกรรมสู่ผู้นำเมืองอัจฉริยะระดับโลก

สำหรับการเปลี่ยนแปลงโลโก้ใหม่เริ่มจากปรับเปลี่ยนตัวอักษร AMATA จากเดิมให้ทันสมัยมากขึ้น ตัดสัญลักษณ์ฟันเฟืองออกไปเพราะเฟืองเป็นสัญลักษณ์ของอุตสาหกรรมยุคเก่า และเพิ่มลายเส้นใต้ตัวอักษร AMATA แสดงการพัฒนาและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนสิ่งที่อมตะจะพัฒนาอย่างต่อเนื่องอย่างไร้พรมแดน ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนสโลแกนเป็น Possibilities Happen หรือ “ให้สิ่งดี ๆ เกิดขึ้นได้” โดยการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้มีผล ตั้งแต่วันที่ 18 ม.ค. 2561 เป็นต้นไป

“นับจากวันนี้แผนงานการพัฒนา โครงการ อมตะ ซิตี้ ชลบุรี จะเน้นความเป็นเมืองแห่งพลังงานสะอาด และเป็นต้นแบบของนิคมฯในกลุ่มอมตะทั้งในและต่างประเทศ ด้วยการบริหารจัดการพลังงานทางเลือกอย่างชาญฉลาดด้วยเทคโนโลยีทันสมัย  การจัดการทรัพยากรทางด้านพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งขณะนี้มีหลาย  โครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาตามแผนงานยุทธศาสตร์ เพื่อสนับสนุนการเป็นเมืองอัจฉริยะระดับโลก อาทิ โครงการเมืองวิทยาศาสตร์อมตะ ( AMATA Science City) และโครงการเมืองการศึกษา (Edu Town ) เพื่อเป็นส่วนสนับสนุนให้ประเทศไทยได้เป็นศูนย์กลางการศึกษาและพัฒนาในด้านต่าง ๆ ที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ ไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนได้” นายวิกรม กล่าว

ทั้งนี้แผนการลงทุน เพื่อพัฒนานิคมฯ ให้เป็นเมืองอัจฉริยะจะครอบคลุมการพัฒนาในด้านต่าง ๆ 10 ด้านหลัก คือ 1) พลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) 2)การเดินทางอัจฉริยะ(  Smart Mobility) 3) ชุมชนอัจฉริยะ (  Smart Community) 4) สิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ (Smart Environment) 5) ระบบการศึกษาอัจฉริยะ (Smart  Education) 6)  สายการผลิตอัจฉริยะ (Smart Manufacturing) 7) เมืองอากาศยานอัจฉริยะ (Smart Aerospace City) 8)นวัตกรรมอัจฉริยะ (Smart Innovation) 9)   ระบบเศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy) และ10) การบริหารจัดการเมืองแบบอัจฉริยะ (Smart Governance)

นายวิกรม กล่าวว่า สำหรับเป้าหมายการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ หรือ สมาร์ทชิตี้ตามแผนการลงทุนในระยะ 5 ปี (2561-2564) ของอมตะฯ โดยรูปแบบการลงทุนจะร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อดำเนินโครงการเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะของโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น บริษัทอินชอน สมาร์ทชิตี้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (Incheon Smart City Corporation) ประเทศเกาหลี และบริษัท Saab AB จากประเทศสวีเดน เป็นต้น

“กลุ่มอมตะฯ มีเป้าหมายในการพัฒนานิคมฯ ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันได้พัฒนานิคมฯที่ประเทศเวียดนามไปแล้วเป็นแห่งแรก และอมตะยังมีแผนที่จะขยายการลงทุนไปยังประเทศอื่น ๆ ในอาเซียนเพิ่มขึ้นโดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาในประเทศพม่าซึ่งได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลท้องถิ่นย่างกุ้งและบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) แล้วเมื่อกลางปีที่ผ่านมา เนื่องจากอมตะได้เล็งเห็นศักยภาพตามยุทธศาสตร์การพัฒนาเส้นทางสายไหมใหม่ของจีน ภายใต้ชื่อ One belt One Road ตามการพัฒนาเส้นทางการค้าการลงทุนของจีนในภูมิภาคอาเซียน” นายวิกรม กล่าว

สำหรับการดำเนินธุรกิจพัฒนานิคมฯในประเทศเวียดนาม ปัจจุบันมี 2 แห่ง ประกอบด้วย บริษัท อมตะชิตี้ เบียนหัว จังหวัดดองไน บนพื้นที่ 700 เฮกตาร์ หรือ 4,375 ไร่ ถือเป็นโครงการแรกที่อมตะเข้าพัฒนาในต่างประเทศ ซึ่งในขณะนี้มีนักลงทุนเข้าประกอบกิจการเกือบเต็มพื้นที่ ส่วนบริษัท อมตะชิตี้ ลองถั่น จังหวัด ดองไน โครงการที่ 2 บนพื้นที่ 1,270 เฮกตาร์ หรือ ประมาณ 8,000 ไร่ โดยแบ่งเป็นโครงการนิคม 33% และโครงการพัฒนาเมืองชุมชน 67% สำหรับในปีนี้ บริษัทจะเริ่มพัฒนาและเปิดขายพื้นที่โครงการนิคมอุตสาหกรรมไฮเทคเป็นอันดับแรก โดยคาดว่า เงินลงทุนที่ต้องใช้สำหรับโครงการนี้ ประมาณ 10,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ อมตะฯ ยังได้ขยายไปยังภาคเหนือของเวียดนามที่เมืองฮาลอง จังหวัดกว่างนิงห์ ภายใต้ชื่อ บริษัท อมตะ ชิตี้ ฮาลอง (AMATA City Halong) ถือว่าเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่ บนพื้นที่การลงทุนใหม่ขนาด 5,789 เฮกตาร์ หรือ ประมาณ 36,200 ไร่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันว่า รัฐบาลเวียดนามให้ความสำคัญ และไว้วางใจต่อบริษัท อมตะเป็นอย่างยิ่ง

จังหวัดกว่างนิงห์ ถือเป็นจังหวัดชายแดนของเวียดนามที่ติดต่อกับประเทศจีนตอนใต้ มีการพัฒนาสาธารณปโภคที่สำคัญต่ออุตสาหกรรม เช่น ถนนใหม่ไฮเวย์หมายเลข 5 เชื่อมฮานอย-ไฮฟอง-ฮาลองที่ใกล้เสร็จเรียบร้อย การยกระดับท่าอากาศยานนานาชาติแคทบี่ Cat Bi ที่เสร็จเรียบร้อย และท่าเรือน้ำลึกหลักเฟี่ยน Lach Huyen ที่พร้อมเสร็จภายในต้นปีนี้ ซึ่งทั้งหมดนี้ จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญในภาคเหนือของประเทศเวียดนาม

ปัจจุบันโครงการอยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตการลงทุน ต่อรัฐบาลกลาง โดยการสนับสนุนของรัฐบาลท้องถิ่น โดยบริษัทฯ วางแผนการลงทุนและพัฒนาในเฟสแรก บนพื้นที่ขนาด 714 เฮกตาร์ หรือ ประมาณ 4,500 ไร่ คาดว่า ต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 156 ล้านเหรียญ หรือ 5,500 ล้านบาท โดยในปีนี้ บริษัทคาดว่า จะได้รับการอนุมัติใบอนุญาตการลงทุน พร้อมกับขอส่งเสริมให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ไปพร้อม ๆ กัน

ทั้งนี้ การลงทุนในเวียดนามทั้งหมด จะลงทุนผ่าน บริษัท อมตะ วีเอ็น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งส่วนที่จะสร้างความเติบโตและความยั่งยืนให้กับกลุ่มอมตะ นอกจากนี้ ยังจะได้เริ่มมีการนำแนวคิดของเมืองอัจฉริยะรวมถึงการพัฒนาธุรกิจแบบยั่งยืนไปปรับใช้ด้วยเช่นกัน

ปัจจุบัน เมืองอุตสาหกรรมของอมตะมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาค เป็นที่ตั้งของโรงงานผู้ผลิตชั้นนำและบางส่วนที่อยู่ใน Global Fortune 500 จำนวน 1,300 โรงงาน จากกว่า 30 ประเทศ มีการจ้างงานกว่า 300,000 อัตรา และมีมูลค่าการผลิตรวมกว่า 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (รวมทุกโครงการในประเทศไทยและเวียดนาม)

สนใจได้เข้าชมฟรี โดยลงทะเบียนร่วมงานผ่าน
http://event.amata.com/beyond/what-is-amata-beyond.html
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 0 3893 9043-5

คืนชีวิตปลอดสารสู่คนเมือง ตลาดนัดธรรมชาติ

อาหารจากธรรมชาติ

เราไปมาแล้ว! มาหาของกินที่งานตลาดนัดธรรมชาติ เอาบรรยากาศและรายละเอียดงานตลาดนัดธรรมชาติ ที่นี่เค้ารวบรวมของดีของคนไทย  มาเปิดโลกอีกมุม  อาชีพทางด้านเกษตรที่ได้รับความสนใจมาก ยังต่อยอดแปรรูปสินค้าของตัวเอง จนสามารถเพิ่มมูลค่าผลิตผลทางการเกษตร  เพื่อเลี้ยงดูชาวโลกมาเป็นระยะเวลานาน  รายได้ในรูปของมูลค่าเพิ่มทางการเกษตรระยะยาว ในแบบ ฐานธรรมฯ พระราม๙  และที่นี่กลายเป็นศูนย์เรียนรู้ศาสตร์พระราชากลางเมืองหลวง

ด้วยการชักชวนของคุณอภิญญา ภักดีรักษ์ (นที สุวรรณนที) คนเมืองที่หันเหชีวิตเข้าสู่อาชีพเกษตรกร  ( ลูกศิษย์  ยักษ์กะโจน )  ด้วยการเล็งเห็นผลผลิตทางการเกษตร  ที่ต้องการขยายช่องทางจำหน่าย ให้ผลผลิตทางการเกษตร สินค้าชุมชนและท้องถิ่น เพื่อยกระดับเศรษฐกิจ ฐานรากสร้างรายได้สู่ชุมชน ซึ่งเป็นลูกศิษย์ ยักษ์กะโจน จึงได้ชักชวนให้ Totptotravel ได้รู้จัก ตลาดนัดธรรมชาติ เราไปถึงช่วง 10 โมงเช้า  วันนี้ทางตลาดมีกิจกรรมกิจธรรมเทศนาของหลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก วัดป่านาคำน้อย งานทอดผ้าป่า..ลงขันธรรมธุรกิจ วันอาทิตย์ที่ ๗ มกราคม ๒๕๖๑


ที่นี่เป็นตลาดเล็กๆ แต่หลายคนใช้เวลาเดินเป็นชั่วโมง เค้าเดินหาของอร่อยกินกันตามประสาคนรักสุขภาพ Totptotravel ไม่เคยรู้จัก และไม่เคยไปงานนี้มาก่อน แอบติดใจ แนะนำทุกท่าน ควรจะต้องหาโอกาสไปเยี่ยมชมงานนี้ซักครั้งมันดีจริงๆ งานนี้มีหลายอย่างที่น่าสนใจ เลยอยากจะมาบอกว่า  ใครที่รักการทำอาหาร ชอบชิมของอร่อยๆ ชอบชอปปิ้งของที่ราคาต่ำกว่าท้องตลาด หรือเป็นคนที่อยากจะลงทุนในกิจการที่เกี่ยวข้อง ก่อนจะซื้ออาหารผักผักสดๆ จากคนปลูกนอกเมือง ผลไม้ปลอดสาร  มาดูว่าเค้าเห็นความสำคัญ และเตรียมผลผลิตจากการเตรียมการเพาะปลูก ดูแล แปรรูป  ของแปรรูปอย่างมะขามแช่อิ่ม ถั่วงาแผ่น งาม้อนคั่ว แยมมัลเบอรี่ ข้าวเกรียบว่าว กาแฟน้ำแร่ กาแฟชะมด ด้วยความใส่ใจ และมั่นใจได้ในความปลอดภัย
โดยไม่ใช้สารเคมี เด็ดขาด

หาเวลามาเดินเพลิดเพลินด้วยกัน ที่ฐานธรรมฯพระราม ๙ ศูนย์เรียนรู้ศาสตร์พระราชากลางเมืองหลวง เดินช็อปตลาดนัดธรรมชาติ  เลือกซื้อสินค้าราคาพิเศษ อาทิ อาหารทะเล อาหารปรุงสำเร็จ เครื่องดื่มขนมขบเคี้ยว เครื่องดื่มสมุนไพร ฯลฯ ที่นี่มีที่นั่งคุย นั่งเล่น โดยภายในงานมีกิจกรรมสนุกสนานมากมายจากแต่ละร้านค้าที่ร่วมออกงาน

เพื่อเป็นการเอาใจ คนรักธรรมชาติ สินค้าท้องถิ่นที่มีอยู่มาก เน้นหนักไปที่ผักผลไม้ สมุนไพร เครื่องหอม เห็นแค่นี้ก็ทำให้เรารู้ว่า การสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ สังคมแห่งการแบ่งปัน สังคมที่เป็นธรรมตลาดนัดธรรมชาติสังคมใหม่ สังคมแห่งบุญทานตลาดนัดธรรมชาติ ได้รับความสนใจจากกลุ่มคนทุกเพศทุกวัยและคนทั่วไปได้ความรู้และแรงบันดาลใจดีๆ กลับมาเพียบ

เพราะประเทศไทยมีความได้เปรียบเรื่องอาหารจากธรรมชาติ ธุรกิจที่ใช้ธรรมะทำธุรกิจ ที่รวบรวมสินค้าต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพลิกฟื้นผืนดิน ฟื้นฟูธรรมชาติ ปลูกธรรมในใจ ทำมาหากินด้วยความสุข ส่งต่อความเป็นธรรมสู่สังคม เริ่มต้นเล่าง่ายด้วยการจัดตลาดนัดธรรมชาติที่นี่  ทุกเสาร์ – อาทิตย์ เป็นการถาวร

นอกจากของกิน ความเป็นไปอย่างไร้ขีดจำกัด จากของใช้จาก ธรรมชาติแท้ ไปจนถึงไขสันหลัง จากลูกศิษย์ อจย. และ อจจ.แล้ว เพื่อนๆ ที่นี่ก็มีความเป็นกันเองแลดูมีอัธยาศัยดียิ้มแย้มทักทายถือเป็นจุดอีกจุดหนึ่งที่ทำให้เราเข้าใจวิถีชีวิตของ ปลูกธรรมในใจ ทำมาหากินด้วยความสุข

ซึ่งนอกจากจะซื้อหาสินค้าแล้ว ก็อาจจะได้ไอเดียใหม่ๆ จากกิจกรรมของตลาดนัดธรรมชาติ “ยักษ์กะโจนสัญจร” มีสินค้าธรรมชาติที่แฝงด้วยความเรียบง่ายในวิถีชีวิตของชาวบ้าน ผลิตผลจากธรรมชาติให้ชมจากลูกศิษย์ยักษ์กับโจน ไม่น่าเชื่อจริงๆ ว่าแต่ละร้าน มีความคึกคัก ต่อแถวยาวเหยียด
มีของออร์แกนิกส์ให้เลือก อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ระดับประเทศที่น่าสนใจมากๆ คอกาแฟ ต้องห้ามพลาดรู้มั้ย?  Mineral coffee และ  Chamod coffee
กาแฟแบบดริฟคุณภาพดีระดับโลกอยู่ที่นี่  บอกเลย คอกาแฟที่ว่าแน่!!
ต้องมาชิมด้วยตัวเอง

Mineral coffee และ  Chamod coffee

สิ่งทำให้อึ้ง เพราะกาแฟที่เราเจอ รสชาติดีมากกว่ากาแฟดำที่เคยดื่ม เมื่อ เราได้ชิมกาแฟดำ จากเกษตรกรไทย  ณ. ดอยชมหมอก จ.เชียงราย แหล่งปลูกกาแฟน้ำแร่คุณภาพดี ติดอันดับโลก Toptotravel อยากทำความรู้จักกับ กาแฟน้ำแร่ และ กาแฟชะมดไทย ที่คุณวศิน คชสาร แนะนำว่า Mineral เป็นกาแฟที่มีคาแฟอินน้อยที่สุด มีกลิ่นหอมรสชาตินุมนวล โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์  ต้นกำเนิดกาแฟน้ำแร่ และ กาแฟชะมดไทย คุณภาพดีติดอันดับโลก ด้วยความตั้งใจของครอบครัวเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ถ่ายทอดการเรียนรู้วิถีชีวิตคนบนดอย ตามรอยศาสตร์พระราชา ในหลวงรัชกาลที่ ๙

ขอขอบคุณข้อมูล จาก คุณธิติ  คชสาร  (K.THITI  KHOTCHASARN ) กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามกราวด์วอเตอร์ จำกัด และ บริษัท มิเนอรัล คอฟฟี่ จำกัด ปลูกกาแฟ ปลูกป่า รักษาต้นน้ำกาแฟน้ำแร่ และกาแฟชะมดคุณภาพดีระดับโลก ทำให้ธุรกิจกาแฟไทยโด่งดังระดับโลก ควบคู่กับการอนุรักษ์ธรรมชาติในโครงการ ปลูกกาแฟ ปลูกป่า รักษาต้นน้ำ ตอบแทนแผ่นดินพร้อมสรรหากาแฟพิเศษสุดมีกลิ่นหอมและรสชาติโดดเด่น กาแฟน้ำแร่ และกาแฟชะมดไทย ที่ดอยชมหมอก ต.วาวี อ.แม่สรวย จ.เชียงราย

คุณธิติ คชสาร ให้ความรู้เรื่อง…กาแฟชะมด และกาแฟน้ำแร่  ด้วยความเชี่ยวชาญของ คุณธิติ คชสาร ทางด้านการสำรวจศึกษาน้ำบาดาล น้ำแร่ เจาะบ่อน้ำบาดาล แก้ไขโครงการที่พัฒนาน้ำบาดาลขึ้นมาใช้แล้วเกิดความเสียหาย วางแผนบริหารจัดการน้ำให้กับโรงงาน โรงแรม รีสอร์ท ให้มีน้ำสะอาดใช้ได้อย่างยั่งยืนทั่วประเทศ มากกว่า 25 ปี จากผลงานที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน ควบคู่กับกิจกรรมที่ส่งเสริม และมุ่งเน้นให้พัฒนาน้ำบาดาลขึ้นมาใช้อย่างอนุรักษ์และยั่งยืน จนเป็นที่ยอมรับให้เป็น อันดับ 1 ของประเทศ ในด้านน้ำบาดาล

คุณธิติ คชสาร ผู้คิดค้นโครงการ CHAMOD COFFEE จากแนวคิดเริ่ม สู่ขบวนการสรรสร้างกาแฟคุณภาพดี ในแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติ ดอยชมหมอกกาแฟออกผลผลิตครั้งแรก ด้วยการศึกษาข้อมูลและได้ทดลองผลิตกาแฟชะมดในระบบฟาร์ม ลองเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์ชะมดและปล่อยคืนสู่ป่าธรรมชาติ จ.เชียงราย ส่งเสริมอาชีพเพิ่มทางเลือกให้แก่เกษตรกรบนพื้นที่สูง มีรายได้ ให้เกิดภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็ง

คุณธิติ คชสาร ผู้คิดค้นโครงการ CHAMOD COFFEE จากแนวคิดเริ่ม สู่ขบวนการสรรสร้างกาแฟคุณภาพดีที่สุดของประเทศไทย

CHAMOD COFFEE จากแนวคิดเริ่ม สู่ขบวนการสรรสร้างกาแฟคุณภาพดี ในแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติ ดอยชมหมอกเป็นแหล่งกำเนิดน้ำแร่ธรรมชาติไหลเป็นน้ำซับแพร่กระจายปกคลุมพื้นที่โครงการ สวนกาแฟอาราบิก้าห้อมล้อมด้วยป่าธรรมชาติ และยังเป็นที่อยู่อาศัยของชะมดป่า ความสูงและอากาศเย็น น้ำแร่กลั่นตัวเป็นทะเลหมอก เพิ่มความชุ่มชื่นปกคลุมไร่กาแฟ ตั้งอยู่บนแนวลาดเอียงของภูเขา จึงมีเศษหินผุที่พังทลายจากยอดเขาไหลลงมาปนกับดิน เมื่อฝนตกจะละลายแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ทำให้เหมาะกับการปลูกกาแฟคุณภาพดีในแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติ ได้กาแฟคุณภาพดีทัดเทียมนานาชาติ มีกลิ่นหอมและมีรสชาติที่นุ่มนวลอ่อนละมุน

CHAMOD COFFEE

การปลูกกาแฟอาราบิก้าสายพันธุ์ดี ทริปปิก้าและเบอบอน แหล่งน้ำแร่ธรรมชาติ ด้วยการใส่ใจดูแลสวนกาแฟอย่างถูกวิธี โดยทีมที่เชี่ยวชาญด้านการปลูกกาแฟในแหล่งน้ำแร่ ไม่ใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อคนและสัตว์พื้นที่เหมาะสม มีไม้ใหญ่เป็นร่ม อากาศที่เย็นทำให้กาแฟสุกช้า เมล็ดกาแฟจึงมีเวลาดูดซับสารอาหารและแร่ธาตุนานยิ่งขึ้น  เมล็ดกาแฟจึงมีความสมบูรณ์ จากความชุ่มชื้นของทะเลหมอก น้ำแร่กาแฟ กลิ่นและรสชาติที่โดดเด่น เป็นที่ดึงดูดของชะมดป่า ต้นกาแฟในแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติสุก จะมีกลิ่นหอมและรสหวาน เป็นที่ดึงดูดและโปรดปรานของชะมดป่า ชะมดป่าออกมา กินกาแฟในพื้นที่โครงการ ธรรมชาติของชะมดป่าจะเลือกกินเฉพาะกาแฟเชอรี่ลูกที่สุกสมบูรณ์เต็มที่การเก็บจากในป่าทุกวัน เพื่อรักษาคุณภาพ ความสะอาดและความสดใหม่ กาแฟชะมดที่เก็บได้ ต้องมาล้างทำความสะอาดโดยใช้น้ำแร่ในขบวนการผลิต และตากแดดในพื้นที่ มีอากาศบริสุทธิ์บนยอดเขาสูง จนกระทั่งแห้งเหจึงได้กาแฟกลิ่นหอม รสชาตินุ่มนวล นำมาสีและคัดขนาดก่อนนำไปคั่วและทดสอบโดย Q-grader กาแฟชะมดมีกลิ่นหอม รสชาตินุ่มนวล โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของ CHAMOD COFFEE ตอบโจทย์คอกาแฟไทย และชาวโลกจากดอยชมหมอกสู่ผู้นิยมรสชาติกาแฟ  ไม่ใช้สารเคมีที่เป็นอันตรายต่อคนและสัตว์

MINERAL COFFEE
กาแฟอาราบิก้า สายพันธุ์ดี ทริปปิก้า และเบอบอน ใส่ใจดูแลสวนกาแฟอย่างถูกวิธี  ในแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติ โดยทีมที่เชี่ยวชาญด้านการปลูกกาแฟในแหล่งน้ำแร่ พื้นที่เหมาะสม อากาศเย็นทำให้กาแฟสุกช้า กาแฟจึงมีเวลาดูดซับสารอาหารและแร่ธาตุนานอีกทั้งยังได้รับความชุ่มชื้นจากทะเลหมอกน้ำแร่ กาแฟจึงมีความสมบูรณ์เพราะมีไม้ใหญ่เป็นร่มเงา อากาศเย็น ดินอุดมไปด้วยแร่ธาตุ แหล่งน้ำแร่คุณภาพดี กาแฟจากสวนของเราจึงมีกลิ่นและรสชาติที่โดดเด่น การผลิตเลือกเก็บกาแฟเชอรี่เฉพาะลูกที่สุกสมบูรณ์เต็มที่ ด้วยมือทีละเมล็ด ใช้น้ำแร่ในขบวนการผลิต ตั้งแต่นำมาล้างทำความสะอาด และคัดแยกเมล็ดที่ไม่สมบูรณ์ออก ด้วยสูตรเฉพาะ จากนั้นนำไปตากแดดในพื้นที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์บนยอดเขาสูง เม็ดกาแฟแห้งเหมาะสมนำมาเก็บบ่มเม็ดกาแฟคุณภาพ จากนั้นนำมาสีและคัดขนาดก่อนนำไปคั่วทดสอบโดย Q-grader จึงได้กาแฟน้ำแร่ที่มีกลิ่นหอม รสชาติกลมกล่อมเป็นเอกลักษณ์ของ MINERAL COFFEE

นายวศิน คชสาร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท มิเนรัลคอฟฟี่ จำกัด เล่าว่าMineral coffee และ Chamod coffee มีกาแฟแบบดริฟให้ได้ลิ้มลองกัน จิบกาแฟรสชาติกลมกล่อมปลูกและผลิตกาแฟคุณภาพดี ในแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติ เพื่อให้ได้เป็น MINERAL COFFEE กาแฟดี ในแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติและ CHAMOD COFFEE กาแฟชะมดจากธรรมชาติ ที่มีกลิ่นหอม และรสชาติ
ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เพื่อสร้างชื่อเสียง ทุกขบวนการผลิตการสำรวจหาสถานที่ตั้งซึ่งเป็นแหล่งน้ำแร่ธรรมชาติที่คุณภาพดี,การคัดเลือกสายพันธุ์กาแฟที่ดีที่สุด และเหมาะสมกับการปลูกบนภูเขาสูง, การปลูกและดูแลต้นกาแฟอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ, การเก็บผลผลิตที่ได้มาตรฐาน, การเพาะขยายพันธุ์ชะมดปล่อยคืนสู่ป่า เพื่อผลิตกาแฟชะมด จากธรรมชาติ
ที่เป็นสูตรเฉพาะ จึงมั่นใจได้ว่า กาแฟของเรามีคุณภาพดี กลิ่นและรสชาติ
ที่เป็นเอกลักษณ์ของ CHAMOD COFFEE
รายละเอียดของ  www.mineralcoffee.co.th

นายวศิน คชสาร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท มิเนรัลคอฟฟี่ จำกัด

โครงการธรรมธุรกิจ ก่อตั้งโดย อ.ยักษ์ -ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร (ประธานธรรมธุรกิจ),อ.โจน จันใด (รองประธานธรรมธุรกิจ),คุณหนาว – พิเชษฐ โตนิติวงศ์ (ผจก.ธรรมธุรกิจ) ได้นำพากลุ่มชาวนาธรรมชาติ (ชาวไร่และชาวนาดั้งเดิม) และกสิกรอินดี้ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ยักษ์กะโจน ก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจพอเพียงขั้นก้าวหน้าหลังจากสร้างขั้นพื้นฐานมาแล้วใน 3 ปีแรก

ทั้งหมดนี้  เป็นเพียงส่วนหนึ่งสำหรับความน่าสนใจจากโครงการธรรมธุรกิจ ที่ฐานธรรมฯ พระราม ๙ ศูนย์เรียนรู้ศาสตร์พระราชา กลางเมือง มีกิจกรรมพิเศษ คือ การทาสีบ้านดิน ที่เราใช้หลายมือหลายเท้า มาช่วยกันย่ำ ช่วยกันก่อ ช่วยกันสร้างจนเป็นหลังขึ้นมาแล้ว ณ บัดนี้ เพื่อใช้เป็นร้านกาแฟ เป็นที่แฮงก์เอาท์ เป็นที่มาพบปะเพื่อนฝูง ครูบาอาจารย์ มาเรียนรู้ มาหัวเราะ
มาร้องไห้ มาบ่น ฯลฯ

สินค้าคุณภาพจากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริก็เป็นอะไรที่คุ้มค่ามากๆ แล้ว เพราะหลายอย่างนี่หลายคนหาซื้อแถวบ้านได้ยากมาก แต่ในงานนี้มีให้เลือกซื้อเพียบเยอะเลย

พบกัน เสาร์ อาทิตย์ ที่ฐานธรรมพระราม ๙ (โรงเรียนชาญวิทย์) กรุงเทพฯ
อย่าลืมหาเวลามาพบกันใหม่ในงานตลาดนัดธรรมชาติ “ยักษ์กะโจนสัญจร”

#ตลาดนัดธรรมชาติ
#ฐานธรรมฯพระราม๙
#ศูนย์เรียนรู้ศาสตร์พระราชากลางเมืองหลวง

เที่ยวทั่วไทย อร่อยไปทั่วโลก Lifestyle ทันทุกกระแสข่าว การเงิน อสังหาฯ IT บันเทิง แฟชั่น