เครือ พี.เอ็ม.กรุ๊ป เปิดตัว “The Nest สุขุมวิท 71”

คอนโดฯ ใหม่ …รองรับไลฟ์สไตล์คนเมืองในแบบ คนสุขุมวิท


เครือ พี.เอ็ม.กรุ๊ป เปิดตัว “The Nest สุขุมวิท 71”
คอนโดฯใหม่รองรับไลฟ์สไตล์คนเมืองในแบบ “คนสุขุมวิท” สะดวกสบาย แต่คงความอบอุ่น ใกล้กับ BTS การออกแบบอันพิถีพิถัน เพดานสูง วัสดุพรีเมี่ยม  The Nest สุขุมวิท 71  ถ่ายทอด อารมณ์และไลฟ์สไตล์ในการอยู่อาศัย คอนโดที่ผสานเทคโนโลยี และธรรมชาติได้อย่างลงตัว

ย่านสุขุมวิท  ได้ชื่อว่าเป็นทำเลทองที่ดีเวลลอปเปอร์ต่างแย่งชิงที่ดินผืนงามมาพัฒนาเพิ่มมูลค่าจนแทบจะไม่เหลือพื้นที่ว่างให้พัฒนาอีกต่อไป
ด้วยเหตุนี้  การพัฒนาจึงได้ขยับขยายออกไปตามแนวรถไฟฟ้า และ ทำเล “พระโขนง” เป็นอีกทำเลหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจ   จากนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มองเห็นโอกาสใหม่  ที่น่าลงทุน ด้วยความพร้อมของ
ศักยภาพทําเลและ Demand ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นางสาวอุษณา มหากิจศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในเครือ พี.เอ็ม.กรุ๊ป เปิดเผยว่า ย่านพระโขนงหรือสุขุวิท 71 ถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพที่เชื่อมระหว่างในเมืองและนอกเมือง มีความหนาแน่นของประชากรค่อนข้างสูง ซึ่งนอกจากจะเป็นชุมชนเก่าแก่ขนาดใหญ่ที่คนไทยอยู่อาศัยแล้วยังพบว่าในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาชาวต่างชาติก็ได้เข้ามาอยู่อาศัยในทำเลดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน

ด้วยศักยภาพของทำเลที่ตั้ง บริษัทฯจึงได้ต่อยอดความสำเร็จในการพัฒนาที่อยู่อาศัยภายใต้แบรนด์ The Nest (เดอะเนสท์ ) จากโครงการแรก
The Nest เพลินจิต มาถึงโครงการใหม่ล่าสุด

The Nest สุขุมวิท 71 (เดอะเนสท์ สุขุมวิท 71) โครงการที่สี่ อยู่ซอยปรีดีพนมยงค์ 2 (สุขุมวิท 71) บนเนื้อที่กว่า 5 ไร่ พัฒนาเป็นอาคารชุดพักอาศัยสูง 8 ชั้น 5 อาคาร คลับเฮ้าส์ 2 ชั้น 1 อาคาร รวมจำนวน 515 ยูนิต

มีขนาดห้อง 3 แบบ ดังนี้
แบบ 1 ห้องนอน( 1 Bedroom ) ขนาดพื้นที่ใช้สอย 24.69-33.35 ตารางเมตร (ตร.ม.),

แบบ 1 ห้องนอน ( 1 Bedroom plus) ขนาดพื้นที่ใช้สอย 41.52 ตร.ม. และแบบ 2 ห้องนอน( 2 Bedroom ) ขนาดพื้นที่ใช้สอย 44.51-47.22 ตร.ม.
ราคาขายเริ่มต้น 92,500 – 110,000 บาท ต่อตร.ม.หรือราคาเริ่มต้น 2.39 ล้านบาทต่อยูนิต รวมมูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท

เริ่มก่อสร้างประมาณไตรมาส 4/2561 คาดว่าแล้วเสร็จประมาณไตรมาส 4/2563 เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคนทำงานในเมืองที่มองหาบ้านหลังที่สองที่มีระดับรายได้ 30,000 บาทต่อเดือน และกลุ่มนักลงทุน

“โครงการ The Nest สุขุมวิท 71”   เป็นคอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ทที่ออกแบบเพื่อความสมบูรณ์ในการใช้ชีวิตให้ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น ด้วยการออกแบบให้การอยู่อาศัยที่รายล้อมด้วยร่มไม้ใจกลางเมือง มีความโดดเด่นทั้งตัวอาคารภายนอกและลงตัวด้วยพื้นที่ใช้สอยที่ออกแบบตอบโจทย์ลงตัวทุกพื้นที่เพื่อความสุขและการใช้ชีวิตการอยู่อาศัยที่แท้จริงในทุกแบบห้อง ทุกขนาดพื้นที่สามารถใช้สอยได้จริง เฟอร์นิเจอร์และวัสดุตกแต่งที่มีคุณภาพ โดยทุกยูนิตจะตกแต่งแบบ fully furnished มีชุดครัวแบบปิด และ walk-in closet ในทุกรายละเอียดการออกแบบดีไซน์นั้นสามารถตอบรับการใช้ชีวิตทันสมัยสไตล์คนเมืองตั้งแต่เริ่มตื่น ทำงาน พักผ่อน จนถึงการนอนหลับ ด้วยการตกแต่งแบบเรียบๆโทนสีอบอุ่นลงตัว เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของกลุ่มคนที่ทำงานในเมือง หรือกลุ่มคนที่ต้องการซื้ออสังหาฯเพื่อการลงทุน

นอกจากนี้ภายใน โครงการ The Nest สุขุมวิท 71 ก็พร้อมสรรพไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ดังนี้ มีที่จอดรถ 50 % (รวมจอดรถซ้อนคัน) ล็อบบี้ ,สวนและพื้นที่นั่งเล่นภายนอกอาคาร, สระว่ายน้ำพร้อมด้วยสระเด็ก, ห้องออกกำลังกาย/ลานโยคะ, เลานจ์และห้องสมุด , พื้นที่ซักรีด, ระบบอินเตอร์เน็ตไร้สาย (WIFI) ในพื้นที่ส่วนกลาง รวมถึงมีบริการอื่นๆ อาทิ พนักงานรักษาความปลอดภัยตลอด24 ชม. พร้อมระบบคีย์การ์ด ระบบโทรทัศน์วงจรปิด ( CCTV) และบริการรถรับส่ง เป็นต้น

“ลูกค้าหลักจะเป็นกลุ่มนักลงทุนและผู้มีรายได้ในระดับกลางที่ทำงานในเมือง ที่ต้องการซื้อเป็นบ้านหลังแรกหรืออาจจะมีบ้านอยู่แล้ว ต้องการคอนโดฯ เป็นบ้านหลังที่สอง เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทางหรือซื้อเพื่อการลงทุนไว้ปล่อยเช่า” นางสาวอุษณา กล่าว พร้อมกับย้ำว่า จากฐานข้อมูลกลุ่มลูกค้าที่ซื้อคอนโดฯแบรนด์ “เดอะเนสท์”จากสามโครงการที่ผ่านมาทั้งจากโครงการ The Nest เพลินจิต,โครงการ The Nest สุขุมวิท 22 และ โครงการ The Nest สุขุมวิท 64 ลูกค้าที่ซื้อส่วนใหญ่กว่า.70. % เป็นลูกค้าที่ซื้ออยู่เอง และอีก 30 %เป็นกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อการลงทุน โดยสัดส่วนระหว่างกลุ่มลูกค้าคนไทยและต่างชาติ ตาม Demand ของสถานการณ์

ทั้งนี้ลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อจะซื้อด้วยเงื่อนไขการเปรียบเทียบ “ราคา” กับ “คุณภาพ” และความ “สะดวก”ในการเดินทางที่อยู่แนวรถไฟฟ้าและใกล้
สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ

ความโดดเด่นในเรื่องการออกแบบดีไซน์ดั่งที่กล่าวมาแล้ว  โครงการ
The Nest สุขุมวิท 71  มีจุดเด่นด้าน ทำเลที่ตั้ง ใกล้รถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีพระโขนง ซึ่งเป็นทำเลทั้งชาวไทยและต่างชาติอาศัยอยู่จริง การคมนาคมสะดวก ทั้งการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าและรถยนต์ส่วนตัว เพราะถนนสุขุมวิท 71 เป็นถนนใหญ่ที่เชื่อมต่อไปยังรามคำแหง ,พระราม 9 จะเข้าตัวเมืองย่านอโศกหรือสยามฯก็สามารถนั่งรถไฟฟ้าได้ภายในไม่กี่นาทีก็ถึงจุดหมาย หรือ หากขับรถส่วนตัววิ่งไปเส้นพระราม 4 ก็สามารถไปยังสีลมได้ด้วย  เช่นกัน อีกทั้งที่ตั้ง โครงการ The Nest สุขุมวิท 71  อยู่ฝั่งเลขคู่ซอยปรีดีฯ   2 ที่สามารถลัดไปขึ้นทางพิเศษฉลองรัช (รามอินทรา-อาจณรงค์) ซึ่งก็สะดวกมากเช่นกัน

นอกจากนี้ “โครงการ The Nest สุขุมวิท 71” ยังอยู่ใกล้กับสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆรองรับชีวิตคนเมืองและชาวต่างชาติ สถานที่สำคัญใกล้เคียง W District ตั้งอยู่บริเวณปากซอย สุขุมวิท 71 / Summer Hill /Gateway Ekamai /รพ.สุขุมวิท / ม.กรุงเทพ กล้วยน้ำไท เป็นต้น

กล่าวได้ว่า ทำเล “พระโขนง” หรือ “สุขุมวิท71” เป็นอีกทำเลตัวเลือกหนึ่ง
ที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการซื้อ “เพื่ออยู่อาศัย” ตอบสนองไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในแบบ “คนสุขุมวิท” สำหรับท่านที่สนใจสอบถามข้อมูลได้ที่

สำนักงานขาย โครงการ The Nest สุขุมวิท 71
เบอร์โทร 089-999-5181 หรือ www.thenestproperty.co.th

ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ของดีที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ว่ามี!

ระนอง วิถีชีวิต หมู่บ้านที่ซ่อนตัว
ท่ามกลางธรรมชาติ

ระนอง เป็นหนึ่งในชุมชนท่องเที่ยว ซึ่งมีวิถีชีวิต วัฒนธรรม ธรรมชาติ งดงาม มีเสน่ห์ ดึงดูด ชวนให้นักเดินทางได้ไปเยือนสักครั้ง  ท่องเที่ยวทั้งที  ต้องมีในลิสต์  คนชอบทะเลไม่หนีร้อนก็หนีรักไปพักกับบรรยากาศ 28 หมู่บ้าน 5 อำเภอ OTOP นวัตวิถี จังหวัดระนอง

ครั้งนี้เลือกไปเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่น ชื่นชมวิถีชีวิตที่เรียบง่าย  ที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพแบบธรรมชาติไม่ว่าจะชอบเที่ยว ทะเล เที่ยวภูเขา
หรือชอบหาของกินอร่อยๆ  เลือกซื้อสินค้าในชุมชน เลือกมุมถ่ายรูปสวยๆ กิจกรรมดีดีเหล่านนี้ มีแต่เสียงหัวเราะล้วนแล้ว เป็นความสุขที่ให้กับ
ตัวเองทั้งนั้น

Toptotravel เพิ่งกลับมาจาก จังหวัดระนอง นี่คือ การไปเยือนจังหวัดระนองเป็นครั้งแรก  “ระนอง”  จังหวัดที่มีสโลแกนว่า เมืองฝนแปด แดดสี่ หมาย ความว่า สภาพอากาศตลอดในหนึ่งปี ฝนตกแปดเดือน และแดดออกอีกสี่เดือน  ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ก็แอบลุ้นๆ ว่าจะฝนจะตกสักกี่วัน

เหตุผลที่มาครั้งนี้ก็ เพราะ ระนอง เป็นเมืองที่มีครบทุกอย่างในด้านการท่องเที่ยว ด้านขวาของจังหวัด  ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงเขียวขจี บริเวณโดยรอบมีทั้งป่าและน้ำตก ส่วนฝั่งซ้ายลาดลงไปสู่ทะเลอันดามัน และสามารถข้ามไปเกาะต่างๆ มากมาย

เริ่มต้นจากกรุงเทพฯ ไป จังหวัด ระนอง ทริปนี้เรามากันทั้งหมด  2 วัน  1 คืน  Totptoravel เดินทางทั้งขาไปและขากลับ โดยสายการบิน นกแอร์ ออกเดินทางจากสนามบินดอนเมือง เครื่องบินชื่อน่ารัก นกคาปู คือชื่อของนาง สภาพอากาศระหว่างการเดินทางอากาศดีฟ้าใส  เผลอแปร๊ปเดียวถึง  ยังสนามบินระนอง นกแอร์ เที่ยวบินที่ DD7312 เวลา 6.05 น. ถึงระนอง เวลา 7.30 น.
ใช้ระยะเวลาการเดินทางโดยประมาณ 1.25 ชม. หลังจากนั้น เราเดินทางเข้าสู่เมือง จ.ระนอง ไปหาอาหารเช้าพท้นเมืองทานกัน

ระหว่างทาง มองเห็นสถานต่างๆ รอบตัวเมืองระนอง แต่ละที่ดูแล้ว ช่างมีเอกลักษณ์และเสน่ห์แตกต่างกันออกไป และด้วยเวลาที่จำกัด Tototravel จึงเลือกไปชมวิถีชีวิต รูปธรรมชาติ ภูเขา ทะเล และผู้คนให้มากยิ่งขึ้น

สิ่งต่างๆ ที่เราจะได้เห็นจากการท่องเที่ยวแบบวิถีชุมชน  สถานที่ต่างๆ อยู่ในชุมชนเกือบทั้งสิ้น   โดยใช้เสน่ห์ ภูมิปัญญา วิถีชีวิต วัฒนธรรม และความคิดสร้างสรรค์ OTOP​ นวัตวิถี​ ระนอง​ เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้เกิดรายได้กับชุมชน โดยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในจังหวัดระนอง

OTOP นวัตวิถี เน้นให้นักท่องเที่ยวทุกท่าน สามารถสัมผัสรายละเอียดของธรรมชาติ วิถีชีวิตแต่ละภาพจะสะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตพื้นบ้านที่เรียบง่ายของชาวจังหวัดระนอง ธรรมชาติบำบัด สัมผัสชีวิตคนระนอง เดินฟังเสียงน้ำไหล กินไข่ออนเซน เสน่ห์ของวิถีชุมชน อาหาร การแต่งกาย ที่อยู่อาศัย ประเพณี ภาษา อาชีพ ความเชื่อ ศิลปะพื้นถิ่น น่าอิจฉาวิถีชีวิตของคนที่นี่ และนักท่องเที่ยวทุกท่านมาผล้วไม่ผิดหวัง คุณจะได้สัมผัสกับวิถีชีวิต  ของชาวระนอง มาเที่ยวระนองทั้งที  ถ้าไม่ได้ลง 5 อำเภอ 28 หมู่บ้าน  ถือว่าคุณยังมาไม่ถึงระนอง

การเดินทางมาเที่ยวครั้งนี้  ได้รับเชิญจาก พช. จังหวัดระนอง   จัดโครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี เชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวแต่ละท้องถิ่น เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชน เสริมสร้างชุมชนให้มีความเข็มแข็ง เพิ่มรายได้ชุมชน เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยว

สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดระนอง จัดโครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี เชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวแต่ละท้องถิ่นธรรมชาติบำบัด สัมผัสชีวิตคนระนอง เดินผังเสียงน้ำไหล กินไข่ออนเซน OTOP นวัตวิถี  จุดหมายของคนรักสุขภาพแบบธรรมชาติ น่าอิจฉาวิถีชีวิตของคนจังหวัดระนอง

ที่ จ.ระนอง บอกได้เลยว่าดีเทลธรรมชาติ 100%  แห่งหนึ่งในประเทศไทย  จึงทำให้ชุมชนท่องเที่ยว OTOP เป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการรวมตัวของการท่องเที่ยวระดับชุมชน ‘แอ่งเล็ก’ สร้างเป็นอาชีพที่ยั่งยืน ชาวบ้านปลูกกาแฟแบบธรรมชาติปลอดสารพิษ ทำให้ผลผลิตกาแฟมีคุณภาพล้ำเลิศทั้งในด้านรสชาติและความหอมหวล ไม่แพ้เมล็ดกาแฟจากแหล่งใดในโลกยังเป็นที่รู้จักในฐานะชุมชน  ที่มีการจัดการด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง

ด้วยวิถีชีวิต ความสามัคคี ระบบระเบียบที่ชัดเจน กับความคิดดีๆ โดยใช้นวัตกรรม บวกกับวิถีชีวิตของชุมชน ยกเสนห์ความงดงาม  ของท้องถิ่น
ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ของนายจตุพจน์ ปิยัมปุตระ  ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง ผลสำคัญของการท่องเที่ยวทำให้ชาวบ้าน มีรายได้ดี เพื่อ
จุนเจือครอบครัวมากขึ้น  จากการที่ชาวบ้าน ได้มีการร่วมตัวกันจัดตั้งกลุ่มต่างๆ ตามความถนัดและความสนใจของตนเอง

เพื่อรับการอบรมพัฒนาอาชีพเสริม ที่ผู้นำหมู่บ้านจัดกลุ่มนวดแผนโบราณ กลุ่มเครื่องเรือนไม้ไผ่ กลุ่มจักสานหมวก กลุ่มสมุนไพรพื้นบ้าน กลุ่มดนตรีพื้นเมือง กลุ่มฟ้อนรำ กลุ่มไกด์ กลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์ชา กาแฟ กลุ่มอาหารทะเลแปรรูป ซึ่งทุกกลุ่มของแต่ละชุมชนมีความเกี่ยวพันและเชื่อมโยงกับ Otop นวัตวิถี กับการท่องเที่ยวทั้งสิ้น

ทุกวันนี้ชาวบ้าน  28 หมู่บ้าน 5 อำเภอ OTOP นวัตวิถี จ.ระนอง  เข้าใจเรื่องของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และการบริหารจัดการในทุกด้าน รวมถึงรู้จักหน้าที่และบทบาทของตัวเองในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน ตลอดจนการร่วมแรงร่วมใจกันในการพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อมิให้เกิดเป็นผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชุมชน เช่นในอดีตที่ผ่านมา

เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวซื้อสินค้าในชุมชน ทำให้รายได้กระจายอยู่ในชุมชนที่นี่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ที่น่าสนใจ เดินทางมาทีนี่ทั้งที เพื่อสนันสนุนสถานที่ท่องเที่ยว เรามาชม 8 เส้นทางท่องเที่ยวหมู่บ้านโอทอป นวัตวิถี ในระนองกันดีกว่า มีที่ไหนบ้างไปดูกัน!

เส้นทางที่ 1 ล่องคลอง ท่องเล เสน่ห์ชุมชนท่องเที่ยวOtop​ นวัตวิถี​ หมู่บ้านดีๆ​  ชื่อสุขสำราญ บ้านเหนือ หมู่ 2 ต.กำพวน อ.สุขสำราญ พื้นที่ป่าชายเลนของจังหวัดระนอง ที่กำลังจะกลายเป็นมรดกโลก ซึ่งอยู่ระหว่างประชาพิจารณ์ ดำเนินการแล้วเสร็จภายในปี 2563  Otop นวัตวิถี ที่นี่สื่อถึงสภาพความเป็นจริงของธรรมชาติที่งดงาม เรามีโอกาสได้ล่องเรือชมป่าชายเลนที่งดงามที่สุด หรือสวยเป็นลำดับที่สอง  รองจากประเทศบังคลาเทศ

เดินทางถึงท่าเรือ ป่าชายเลนของระนองยังเป็นเหมือนกำแพงที่ป้องกันการพังทลายของชายฝั่ง

การล่องเรือชมป่าชายเลนที่เส้นทางเชื่อต่อกับทำเล โดยเรือประมงของชาวบ้าน

เส้นทางที่ 2 ชวนมาถ่ายรูป เชคอินสะพานแขวนบ้านเหนือ คำพวน
ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี สะพานไม้ยาว ข้ามธารน้ำสะพานไม้มีความยาวข้ามธารน้ำไปอีกฝั่ง นักท่องเที่ยวที่มาเยือนนอกจากมาแช่บ่อน้ำร้อนแล้ว ยังสามารถมาเดินเล่น นั่งเล่น เก็บภาพได้ที่สะพานไม้ อยู่ในโซนขวาของจังหวัดที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขา จุดหมายของคนรักธรรมชาติ ทุกท่านจะได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวระนอง เพราะที่นี่มีแหล่งงท่องเที่ยวที่เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยว  ล่องเรืองชมบรรยากาศและศึกษาชีวิตชายฝั่ง ป่าชายเลนมรดก  ล่องคลอง ท่องเล สเน่ห์บ้านเหนือ ธรรมชาติสวยที่เมืองรอง

สะพานแขวนบ้านเหนือ คำพวน ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี

ตามเราไปเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ ระนอง จังหวัดเล็กๆ ที่มีชุมชนน้อยใหญ่

เส้นทางที่ 3  เยี่ยมชมจุดชมวิว เขาฝาชี
ในพื้นที่บ้าน อำเภอละอุ่น ตั้งอยู่บริเวณยอดเขาฝาชี โดยมีเส้นทางจากถนนเพชรเกษม  ไปยังบริเวณยอดเขาฝาชี เส้นทางไต่เขาลักษณะคดเคี้ยวตามไหล่เขา เดิมบริเวณจุดชมวิวบ้านเขาฝาชี เป็นจุดสังเกตการณ์ในการสู้รบของทหารญี่ปุ่น ซึ่งในยุคนั้นจะเรียนว่า เขาหมาหอน

เส้นทางที่ 4
ชมศิลปวัฒนธรรมการแสดงพื้นบ้าน “ลิเกป่า”
ชุมชนบ้านเขาฝาชีเป็นชุมชนก่อนยุคสงครามโลกครั้งที่ ๒ และชุมชนบ้านเขาฝาชีได้เป็นพื้นที่ในการตั้งฐานทัพของทหารญี่ปุ่น แหล่งท่องเที่ยวของชุมชนบ้านเขาฝาชีจึงมีความสัมพันธ์เชิงประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ ๒
จุดชมชมวิวที่นี่ สามารถมองเห็นทัศนียภาพของทะเลอันดามัน และจุดบรรจบของแม่น้ำสามกระแส คือ แม่น้ำละอุ่น แม่น้ำกระบุรี และ แม่น้ำมะลิวัลย์ ประเทศเมียนมาร์ และจะมองเห็นหัวเขาค่าง ซึ่งเป็นจุดด่านสกัดในยุคสงครามโลก มองเห็นหาดโหด เห็นสภาพชุมชนบ้านเขาฝาชี และนอกจากนี้ในช่วงฤดูหนาว สามารถพบทะเลหมอกได้ที่บริเวณจุดชมวิวบ้านเขาฝาชี
ยิ่งไปกว่านั้นในปัจจุบันนี้ชุมชนดังกล่าวยังคงมีการผลิตกะปิ อาหารทะเล

ชุมชนบ้านเขาฝาชี จะสามารถเห็นวิถีชีวิตแบบชนบท วิถีชีวิตริมแม่น้ำ สูงจากระดับน้ำทะเล 259 เมตร บนยอดเขาเป็นสถานที่ชมทิวทัศน์สวยงาม พระอาทิตย์อัสดง สามารถมองเห็นแม่น้ำกระบุรีไหลบรรจบกับแม่น้ำละอุ่น เกาะแก่งต่างๆ เป็นภาพที่สวยงามสดใสมีชีวิตชีวา ในบริเวณใกล้เคียงยังเป็นที่ตั้งฐานทัพญี่ปุ่น สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีหลักฐานสำคัญคือ ซากเรือรบ อุโมงค์ใต้ดิน แนวทางรถไฟ ที่มีการประกอบอาชีพลอกใบห่อยาสูบ การทำกะปิ การแปรรูปอาหารทะเลอาหารทะเลสดจากธรรมชาติ อาหารปักษ์ใต้ อาหารท้องถิ่น ขนมโบราณ ผักเหลียงผักพื้นบ้านผักประจำถิ่น

​เส้นทางที่ 5 เปิดหมู่บ้านOTOP นวัตวิถี
ที่ตลาดนัดชุมชนแห่งนี้ ชาวบ้านนำสินค้า ที่ผลิตเองตากบ้านเหนือ หมู่ 2 ต.กำพวน อ.สุขสำราญ “ ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี จังหวัดระนอง  มาจัดจำหน่ายเพิื่อเพิ่มรายได้ให้แหล่งชุมชน

เส้นทางที่ 6 ชมเสนห์ชาวฮินดู ที่หมู่บ้านบ้านพรรั้ง 
อำเภอเมือง ระนอง นวัตวิถีบ้านพรรั้ง ที่สืบทอดเชื้อสายชาวฮินดูที่เต็มไปด้วยสีสันและความสนุกสนาน น่าจะมาจากการทำเหมืองแร่ดีบุกในสมัยก่อน (สมัยต้นตระกูล ณ ระนอง)  สัมผัส ชีวิตคนระนอง เดินผังเสียงน้ำไหล กิสะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตพื้นบ้านที่เรียบง่ายของชาวจังหวัดระนอง ธรรมชาติบำบัด สัมผัสชีวิตคนระนอง เดินผังเสียงน้ำไหล กินไข่ออนเซน เสน่ห์ของวิถีชุมชน อาหาร การแต่งกาย ที่อยู่อาศัย ประเพณี ภาษา อาชีพ ความเชื่อ และศิลปะพื้นถิ่น

เส้นทางที่ 7 บ่อน้ำแร่พุหลุมพี
วันนี้ไปแช่น้ำแร่กันที่ บ่อน้ำแร่พุหลุมพี ออนเซ็นเมืองไทยไม่ต้องไปไกลถึงญี่ปุ่น จ.ระนอง  อุณหภูมิสูงประมาณ 65  และต้องห้ามพลาดบ่อน้ำร้อนไหลอุ่นๆ ตามธรรมชาติ บรรยากาศร่มรื่นอย่างมากของชาวชุมชน เป็นบ่อพุน้ำร้อนขนาดเล็กไม่กว้างมาก น้ำแร่ธรรมชาติอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ที่นี่เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบบรรยากาศเงียบ คนไม่เยอะ ลักษณะเป็นบ่อน้ำร้อนตรงกลางและมีที่นั่งรอบๆ บ่อ สำหรับตักอาบแต่ไม่สามารถลงไปแช่ได้

เส้นทางที่ 8  บ้านไร่ ไออรุณ –  BAAN RAI I ARUN RANONG
ดูแล้วน่าพัก คงจะไม่ต้องใช้ชีวิตเร่งรีบในแต่ละวันจากแนวคิดสำนึกรักบ้านเกิดและความอยากอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ วิถีชุมชน บ้านเล็กๆกลางไร่สวนขนาดใหญ่อิงแอบแนบธรรมชาติชวนเที่ยวบ้านไร่ไออรุณ การกินอยู่อย่างพอดี หลายคนพูดได้แต่ทำยาก ที่ บ้านไร่ไออรุณ ฟาร์มสเตย์ ธรรมชาติที่ดีของคนในชุมชน วิถีชีวิตที่โอบล้อมไปด้วยต้นไม้และป่าเขา อากาศเย็นตลอดปี มีทรัพยากรและระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์สุดยอดหมู่บ้านโฮมสเตย์ แลนมาร์คนึงที่คนนิยม จุดหมายปลายทางอาจไม่สำคัญเท่าความสุขใจระหว่างทางหมู่บ้านน่ารัก วิวสวยๆ ทำให้คุณมีรอยยิ้มและความสุขได้ในที่แห่งนี้ได้แน่นอน เรามานั่งจิบกาแฟ  เห็นลำธารอยู่ตรงหน้า

ก่อนกลับกรุงเทพฯ แวะเติมพลังด้วยอาหารกลางวันที่ใครมาระนองต้องมานั่งทาน วิวที่นี่หลักล้าน  ร้านส้มตำ ขนมถ้วย ร้านส้มตำภูเขาหญ้าเจ๊จิ๋ม ที่ตั้งอยู่ ตรงข้ามภูเขาหญ้า หรือ เขาหัวล้าน แต่ให้ความสวยคุ้มค่า เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองระนอง ดังที่ได้กล่าวไว้ในคำขวัญของเมืองระนอง คอคอดกระ ภูเขาหญ้า กาหยูหวาน ธารน้ำแร่ มุกแท้เมืองระนอง

ร้านส้มตำภูเขาหญ้าเจ๊จิ๋ม(ไม่มีสาขา)

ภูเขาหญ้าเป็นภูเขาหัวโล้น ขนาดไม่สูงสามารถเดินขึ้นไปได้ เนินเขาแต่ละลูกมีทางเดินเชื่อมถึงกัน เมื่อขึ้นไปอยู่ด้านบนจะชมทิวทัศน์ได้โดยรอบ ในหน้าฝนภูเขาหญ้าจะเป็นสีเขียวดูสวยงามภูเขาหญ้าสีน้ำตาล เดือนพฤศจิกายน ถึง เมษายน , ภูเขาหญ้าสีเขียว เดือนพฤษภาคม ถึง ตุลาคม หน้าฝนควรมาเที่ยวช่วงเช้า หญ้าจะดูเขียวสดชื่น ส่วนหน้าร้อนควรมาตอนเย็นแดดไม่ร้อนมาก

ที่อยู่: ตำบล กะเปอร์ อำเภอ กะเปอร์ ระนอง 85120
โทรศัพท์: 096 938 2981

หากคุณเป็นคนชอบความสะดวก สบาย ชอบใช้เวลาทุกนาทีให้คุ้มค่าสำหรับการพักผ่อน หรือการเดินทางที่อสนยาวไกล ขอแนะนำ FarmHouse ที่จะทำให้ชีวิตคุณประหยัดเวลามากขึ้น

ทริปนี้ไม่ผิดหวังเราพักที่ โรงแรมฟาร์มเฮ้าส์ระนอง FarmHouse ตัวโรงแรมทั้งภายในและภายนอกตกแต่งด้วยโทนสีขาวสะอาดตา  รองรับด้วยเตียงนุ่ม
หลังใหญ่นอนสบายๆ นอกจากนี้โรงแรมยังบมีอาหารเช้าแบบท้องถิ่นให้บริการอีกด้วย แนะนำต้องห้ามพลาด

โรงแรมฟาร์มเฮ้าส์ระนอง FarmHous
ที่อยู่: ตำบล บางนอน อำเภอเมืองระนอง ระนอง 85000
โทรศัพท์: 087 278 4224

ไม่ลืม แวะซื้อของใากจากระนอง

งานจบอารมณ์ไม่จบ ใช้ชีวิตช้าๆ ที่ระนอง  ด้วยวัฒนธรรมอันหลากหลาย ผสานกับเสน่ห์ที่ยากจะหาจังหวัดใดเหมือน ทำให้นักท่องเที่ยว และผู้ที่
มีโอกาสได้มาสัมผัสบรรยากาศ ต้องหลงรักจังหวัดแห่งนี้อย่างแน่นอน

ขอบคุณ : พช.จังหวัดระนอง พา Totottravel
เยี่ยมชมหมู่บ้านท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี จังหวัดระนอง

ติดตามเราได้ที่
web site : www.toptotravel.com
google+ : tototravelvariety
blog : www.toptotravelvariety.com

หยุดเวลา 2 วัน 1 คืน @Holiday Inn Resort Vana Nava Hua Hin

โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ วานา นาวา หัวหิน และสวนน้ำระดับโลก วอเตอร์จังเกิ้ลแห่งแรก
ของเอเชีย

Toptotravel ไปมาแล้ว ก็อยากแชร์ประสบการณ์เที่ยว สนุกสุดมันส์กับเครื่องเล่นระดับโลกความสนุกตื่นเต้นไร้ขีดจำกัดกับที่สุด 19 เครื่องเล่นมาตรฐานโลก

หนีงานไปเที่ยวครั้งนี้ ท่องเที่ยวแบบ 2 วัน 1 คืน พิกัดใกล้กรุง
เที่ยวได้ไม่ไกลกรุงเทพ แบบชิลๆ มาฝาก คนรุ่นใหม่เค้าสนใจไปเที่ยว
แชร์ประสบการณ์และโมเม้นท์ความประทับใจ

เริ่มต้นจากกรุงเทพ มุ่งหน้าสู่ สวนน้ำวานา นาวา หัวหิน ด้วยรถ MG GS SUV ไปถึงสวนน้ำ และโรงแรม อยู่ในบริเวณเดียวกัน ที่นี่ได้รับการออกแบบให้มีความกลมกลืนกับธรรมชาติ กลายเป็นสถานที่เช็กอินที่โด่งดังแห่งใหม่ของไทย พักที่โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ วานา นาวา หัวหิน และสวนน้ำระดับโลก วอเตอร์จังเกิ้ลแห่งแรกของเอเชีย ถือได้ว่าน่าเล่น และมีความทันสมัยเชื่อมต่อกับโรงแรมที่พักสุดหรู พิกัดใกล้กรุงเที่ยวได้ไม่ไกลกรุงเทพ แบบชิลๆ มาฝาก แอบเห็นสวนน้ำจากบนห้องพัก เลยบอกว่าอดใจหน่อย

จะมีที่ไหนชุ่มฉ่ำเท่ากับ สวนน้ำวานา นาวา หัวหิน และถ้าเป็นครั้งแรก  เชื่อว่าหลายคนต้องตื่นเต้นกับสวนลอยฟ้ากลางเมืองหัวหิน แห่งเดียวของโลก บนทางเดินลอยฟ้า สวนน้ำแห่งนี้ ยังอยู่ใกล้กับ รร.ฮอลิเดย์ อินน์ วานา นาวา หัวหินที่นี่มีความน่าสนใจจนกลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่

สวนน้ำวานา นาวา หัวหิน (Vana Nava Hua Hin Water Jungle) เรื่องที่หลายๆ คนแอบเป็นกังวลนั่นก็คือเรื่องห้องน้ำนั้นบอกเลยว่าสะอาดสะอ้าน อุปกรณ์ต่างๆ มีมาให้ครบ ใครที่ชอบสวนน้ำ ที่นี่เป็นอะไรที่สุดคุ้มมาก เพราะนอกจากได้นอนโรงแรมดีๆ พร้อมอาหารเช้า 1 คืน ไม่ต้องเสียเงินนอนโรงแรมอื่น แถมยังได้ล็อคเกอร์กับผ้าเช็ดตัวในสวนน้ำฟรี

ฮอลิเดย์ อินน์ วานา นาวา หัวหินโรงแรมแห่งนี้สามารถเข้าสวนน้ำได้ฟรี โดยสามารถเข้าสวนน้ำได้ทุกวันตราบเท่าที่เรายังพักอยู่ที่โรงแรมนอกจากนี้ สวนน้ำยังเชื่อมต่อกับอาคารร้านค้าใกล้เคียง ซึ่งจะมี ร้านขนม กาแฟ มีกิจกรรรมให้ช้อป ให้นั่งชิลล์มากมาย ที่นี่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ toptotravel ชอบมากๆ อยากชวนเพื่อนๆ มาที่นี่เหมือนเป็นแหล่งรวมตัวของวัยรุ่นและฮิปสเตอร์

เช็คอินเสร็จแล้ว  จะได้รับสิ่งนี้ สายรัดข้อมือหรือ Wristband สีน้ำเงินที่ เป็นความเท่ห์ที่ต้องติดตัวในระหว่างที่เราเข้าพักที่โรงแรม เพราะ Wristband จะใช้สำหรับการขึ้นลิฟท์, เปิดประตูห้อง, เข้าสวนน้ำ, เปิด-ปิดล็อคเกอร์ภาย
ในบริเวณของสวนน้ำ คุณสามารถเติมเงินเข้าไปภายใน Wristband
เพื่อใช้ซื้อของต่างๆ ภายในสวนน้ำได้อีกด้วย

โรงแรมขนาดใหญ่ที่มีความสูงทั้งหมด 27 ชั้น มีห้องพักทั้งหมด  ประมาณ 300 ห้อง ด้วยความที่โรงแรมแห่งนี้มีพื้นที่กว้างขวาง จึงมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน  รวมไปทั้งห้องประชุม, สัมมนา, จัดเลี้ยง, ห้องอาหาร, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, ซาวน่า, Kids Club ห้องพักกว้างขวาง สะอาด บรรยากาศดี ที่นอนนุ่ม Facilities ทุกอย่างครบครันมาก Totptotravel ชอบสระว่ายน้ำที่
ชั้น 26 เพราะบรรยากาศดีมี่ มีบริการ สปา, ฟิตเนส, ซาวน่า, Kids Club, ห้องอาหาร รวมไปถึงการบริการของพนักงานที่ดีมากๆ  ตื่นเช้าได่ทานอาหารเช้าหลากหลาย กับวิวหลักล้าน

ส่วนเรื่องของสวนน้ำวานา นาวา หัวหิน (Vana Nava Hua Hin Water Jungle)  มาถึงตรงนี่ชอบจัง ชอบมากตรงที่ ฮอลิเดย์ อินน์ วานา นาวา หัวหิน) โรงแรมที่อยู่ใกล้กับสวนน้ำวานา นาวา ผู้ที่เข้าพักที่โรงแรมนี้ สามารถเข้าสวนน้ำได้ฟรี โดยสามารถเข้าสวนน้ำได้ทุกวัน ในระหว่างวันที่เรายังพักอยู่ที่โรงแรม ใช้สิทธิ์นี้ในวันที่เราทำการ Check in หรือ  วันที่เรา Check out แล้วก็ได้ โดย ในกรณีที่ยังไม่ถึงเวลา Check in หรือกรณีที่เรา Check out ออกไปแล้ว เรายังต้องการจะเข้าสวนน้ำในวันดังกล่าว

โรงแรมออก Ticket พิเศษมาให้ เพื่อให้เรานำไปแลกเป็น Wristband ของสวนน้ำซึ่งสามารถผ่านเข้าออกสวนน้ำในวันดังกล่าวได้ไม่จำกัดจำนวนเที่ยว แขกของโรงแรมจะได้รับสิทธิ์ใช้ล็อคเกอร์  และผ้าเช็ดตัวในสวนน้ำฟรี โดยที่ไม่ต้องเสียเงินค่าเช่าเหมือนกับบุคคลทั่วไป ยกเว้นหากเรายังไม่ได้ Check in หรือทำการ Check out ออกมาจากโรงแรมเรียบร้อยแล้ว จะได้รับเพียงแค่ผ้าเช็ดตัวเท่านั้น

จากโรงแรมไปยังสวนน้ำได้อย่างสะดวกสบายๆ เล่นน้ำแล้วรู้สึกเหนื่อยเมื่อไหร่ก็สามารถเดินกลับมาพักผ่อน เปิดแอร์เย็นๆ นอนเล่นที่ห้อง ดูทีวีเพลินๆ แอร์เย็นสบาย เตียงนุ่ม หมอนนุ่ม ผ้าห่มดี นอนหลับสบาย ภายในห้องนอกจากจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างทีวี, ตู้เย็น, โซฟา และโต๊ะทำงาน

Facilities ส่วนกลางที่มีความน่าสนใจ สระว่ายน้ำ โดยสระว่ายน้ำของ Holiday Inn Vana Nava Hua Hin ตั้งอยู่ที่ชั้น 26 วิวสูงที่ทำให้สระว่ายน้ำแห่งนี้ มีวิวสวยที่งดงามเกินกว่าจะบรรยาย สระว่ายน้ำ หรือในร่ม รวมไปถึงสระเด็กเล็กที่แยกตัวออกมาต่างหาก สามารถมองเห็นเขาตะเกียบ เขาเต่าได้อย่างชัดเจน และยิ่งเมื่อทางโรงแรมมีการออกแบบสระที่ดี โดยเฉพาะเรื่องการทำเป็นสระแบบไร้ขอบ (Infinity Edge) อย่าลืมแวะขึ้นไปชมความงามที่ Vana Nana Sky

หลังจากได้พัก พอสรุปความสวยงามของที่นี่จาก 2 คอนเซป เพราะการดีไซน์ออกแบบให้โรงแรมมีความสนุกสนาน ออกแบบได้อย่างลงตัว

“Fisherman Village” และ “Playcation”   นำเอาความเป็นท้องทะเลมาผสมผสานการตกแต่งแต่ละมุม ผนังของโรงแรมกับลวดลายของคลื่นหรือเกล็ดปลาจากท้องทะเล บันไดวนออกแบบจากแรงบันดาลใจอุปกรณ์จับปลาของชาวประมง ทำให้หลายคนเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปมุมเหล่านี้

บอกเลยว่า 2 วัน 1คืน พักที่โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ วานา นาวา หัวหินก็เที่ยวได้ง่ายจัง อยู่ใกล้ตัวเมืองหัวหินมากๆ

FB : Fanpage : Holiday Inn Vana Nava Hua Hin
Tel : 032-809999 : Holiday Inn Vana Nava Hua Hin
Tel : 032-809999

ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี แอ่งเล็ก เช็คอิน

ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี แอ่งเล็กเช็คอิน การจำลองบรรยากาศสถานที่ท่องเที่ยวจริง เสมือนได้เยือนอุตรดิตถ์

โครงการ  “ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี”   ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญของ พช. ในการปลุกการท่องเที่ยวระดับชุมชน ที่เรียกว่า “แอ่งเล็ก” ให้เกิดการรวมตัวขึ้นมาสร้างอาชีพที่ยั่งยืน และสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้มั่นคง โดยใช้นวัตกรรมบวกกับวิถีชีวิตของชุมชน ทั้งในแง่ของทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในพื้นที่ผสมผสานเข้ากับประเพณี วัฒนธรรม อาหารการกิน สร้างความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้กับหมู่บ้านกลายเป็นหมู่บ้าน เพื่อการท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์เพื่อเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวได้เข้าไปเยี่ยมเยือน

นายทรงพล วิชัยขัทคะ พัฒนาการจังหวัดอุตรดิตถ์

“พช.อุตรดิตถ์ ยกทั้งจังหวัด งัดของเด็ดมัดใจคนกรุง
แล้วคุณจะรักอุตรดิตถ์ที่สุด”

นายทรงพล วิชัยขัทคะ พัฒนาการจังหวัดอุตรดิตถ์ เล็งเห็นถึงความสำคัญของโครงการดังกล่าว จึงผลักดันเป็นงาน  OTOP  นวัตวิถี  ดินแดน 3 วัฒนธรรม รักที่สุดอุตรดิตถ์ขึ้น “จังหวัดอุตรดิตถ์ นับเป็นจังหวัดที่มีการผสมผสานทางวัฒนธรรมมากมาย เพราะเป็นเมืองที่อยู่ในเขตรอยต่อของ
3 วัฒนธรรม ล้านนา ล้านช้าง และไทยกลาง เป็นผลให้มีลักษณะและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่มีอัตลักษณ์ ในแบบฉบับของตนเอง”

จังหวัด อุตรดิตถ์  มีสินค้าที่น่าสนใจมากมาย ได้แก่ ทุเรียนหลง – หลิน ลับแล ลองกอง – ลางสาดหวาน สินค้าผ้าพื้นเมือง ผ้าซิ่นตีนจก ผ้าทอลายพื้นเมืองยกดอก และผลิตภัณฑ์จาก ผ้าพื้นเมือง ลูกตาวเชื่อม  ขนมเทียนเสวย เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ดาบเหล็กน้ำพี้ ผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ ผลิตภัณฑ์แปรรูปผักตบชวา และไม้กวาดตองกง ที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าในเมืองและทุกอำเภอของจังหวัดอุตรดิตถ์

สำหรับสถานที่ท่องเที่ยว“แอ่งเล็ก เช็คอิน” ที่น่าสนใจ ของอุตรดิตถ์นั้นก็มีอยู่หลายที่ อาทิ ชาวบ้าน นากวาง อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ ภายใต้โครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี
ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือกันสร้างสะพานประสานใจของชาวบ้าน สะพานไม้ไผ่กว่า 200 เมตร ที่ทอดยาวสู่ทุ่งข้าวเขียวขจีเกือบสุดสายตา นับเป็นจุดไฮไลท์ที่ใครมาเที่ยวก็ต้องถ่ายภาพเก็บเป็นความทรงจำดีๆกลับไป
นายทรงพล วิชัยขัทคะ กล่าว

ด้วยวัฒนธรรมอันหลากหลาย ผสานกับเสน่ห์ที่ยากจะหาจังหวัดใดเหมือน ทำให้นักท่องเที่ยว และผู้ที่มีโอกาสได้มาสัมผัสบรรยากาศ ต่างหลงรักจังหวัดแห่งนี้ ขอเชิญคุณมาร่วมพิสูจน์ “เปิดประสบการณ์ท่องเที่ยวชุมชน 3 วัฒนธรรม ดื่มด่ำมนต์เสน่ห์แห่งภูมิปัญญา

OTOP นวัตวิถี ที่เน้นให้ทุกท่านได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวอุตรดิตถ์ ที่ผสมผสานกับความหลากหลายทางวัฒนธรรม เสมือนได้มาสัมผัสกับแหล่งท่องเที่ยวชุมชน “แอ่งเล็ก เช็คอิน” และได้ชื่นชมความสำเร็จในหมู่บ้านหรือชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ของจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้อย่างแท้จริง

ภายในงานพบกับ 28 ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี แอ่งเล็กเช็คอิน การจำลองบรรยากาศสถานที่ท่องเที่ยวจริง เสมือนได้เยือนอุตรดิตถ์จริง ช้อปเพลินกับที่สุด ผลิตภัณฑ์ OTOP กว่า 300 รายการซึมซับวัฒนธรรมผ่านการแสดงศิลปวัฒนธรรมจาก 3 วัฒนธรรมที่หาชมได้ยาก นอกจากนี้ภายในงานยังมีการแสดงดนตรีจากศิลปินชื่อดัง อาทิ ไม้เมือง , น้องแนท The voice และ จิ้งหรีดขาว วงศ์เทวัญ  คาดผลจากการจัดงานในครั้งนี้ จะทำให้มีผู้รู้จักจังหวัดอุตรดิตถ์มากยิ่งขึ้น และชาวบ้านจะได้มีรายได้จากการท่องเที่ยวและการผลิตสินค้าจำหน่าย เกิดเป็นเม็ดเงินหมุนเวียนเศรษฐกิจจังหวัดต่อไป

พบกันวันที่ 28 – 30 กันยายนนี้
ณ MCC Hall ชั้น 4 เดอะมอลล์ บางกะปิ

ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี

โครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี  จังหวัดระนอง

จังหวัดระนอง จังหวัดที่เหมาะสมต่อการต่อยอดเป็นแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพ เชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวแต่ละท้องถิ่น เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชน เสริมสร้างชุมชนให้มีความเข็มแข็ง เพิ่มรายได้ชุมชน เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวชุมชน

จัดขึ้นระหว่าง  วันที่ 20-21 กันยายน 2561 เพื่อประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข่าวสารการดำเนินงาน ชุมชนท่องเที่ยว OTOP  นวัตวิถี ของจังหวัดระนอง

โดยสื่อมวลชนที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ประกอบด้วย สื่อส่วนกลางและสื่อท้องถิ่น เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมเปิดหมู่บ้านOTOP นวัตวิถี “บ้านเหนือ หมู่ 2 ต.กำพวน อ.สุขสำราญ “  พื้นที่ป่าชายเลนของจังหวัดระนอง เป็นมรดกโลก ให้แล้วเสร็จภายในปี 2563

จัดขึ้นระหว่าง  วันที่ 20-21 กันยายน 2561 เพื่อประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข่าวสารการดำเนินงาน ชุมชนท่องเที่ยว OTOP  นวัตวิถี ของจังหวัดระนอง

หมู่บ้าน OTOP นวัตวิถี “บ้านเหนือ หมู่ 2 ต.กำพวน อ.สุขสำราญ “

โดยสื่อมวลชนที่เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ประกอบด้วย สื่อส่วนกลางและสื่อท้องถิ่น เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมเปิด  หมู่บ้าน OTOP นวัตวิถี  บ้านเหนือ
หมู่ 2 ต.กำพวน อ.สุขสำราญ “  พื้นที่ป่าชายเลนของจังหวัดระนอง เป็นมรดกโลก ให้แล้วเสร็จภายในปี 2563  เน้นสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวและสร้างเศรษฐกิจชุมชน สร้างความมั่นคงให้กับเศรษฐกิจโดยได้รับความสนใจจากสื่อทั้งในและนอกพื้นที่ ร่วมกิจกรรมสัมผัสวิถีชุมชนตลอดกิจกรรมเป็นอย่างดี

ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ในการดำเนินโครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี เพื่อสร้างชุมชนเข้มแข็ง ยกระดับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของจังหวัดระนอง

ขณะนี้อยู่ในระหว่างการทำ ประชาพิจารณ์ ชมบรรยากาศและศึกษาชีวิตชายฝั่ง ป่าชายเลนมรดก เชคอินสะพานแขวนบ้านเหนือ ที่สวยงามกลางลำน้ำ รับประทานอาหารทะเลสดๆ   เช่นหอยลักไก่ ปูม้า เยี่ยมชมจุดชมวิว เขาฝาชี ในพื้นที่บ้าน อำเภอละอุ่น ชมศิลปวัฒนธรรมการแสดงพื้นบ้าน “ลิเกป่า”  และเยี่ยมชมหมู่บ้าน”บ้านพรรั้ง” อำเภอเมืองระนองที่สืบทอดเชื้อสายชาวฮินดู และบ่อน้ำแร่พุหลุมพี ของชาวชุมชน เพื่อการเผยแพร่ประชา สัมพันธ์เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวหมู่บ้าน OTOP นวัตวิถี จังหวัดระนอง
ให้นักท่องเที่ยวได้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง

OTOP นวัตวิถี ระนอง เน้นให้ทุกท่านได้สัมผัสรายละเอียดของแต่ละภาพจะสะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตพื้นบ้านที่เรียบง่ายของชาวจังหวัดระนอง

โครงการ “ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี” ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการรวมตัวของการท่องเที่ยวระดับชุมชน ‘แอ่งเล็ก’ สร้างเป็นอาชีพที่ยั่งยืน โดยใช้นวัตกรรมบวกกับวิถีชีวิตของชุมชน ยกเสนห์ความงดงามของท้องถิ่น ด้านทรัพยากรธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยว ภูมิปัญญา วัฒนธรรม ประเพณี และอาหาร พัฒนาเป็น    อัตลักษณ์ของชุมชน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวซื้อสินค้าในชุมชน ทำให้รายได้กระจายอยู่ในชุมชน

 



ทั้งนี้จังหวัดระนอง มีชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี จำนวน 5 อำเภอ 28 หมู่บ้าน เป็นจังหวัดที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์ มีความโดดเด่น สามารถรองรับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมและใช้จ่ายได้ทั้งสถาน
ที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ประวัติศาสตร์ ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม และอาหาร
ที่สามารถสร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยวได้มาสัมผัสเสนห์ วิถีชีวิต ภูมิปัญญา และช่วยเสริมสร้างรายได้ ให้ชุมชนได้อย่างยั่งยืน

ต่อยอด E-Commerce พร้อมเพิ่มธุรกิจทางเลือกแก่ชุมชน

“เอซเก้”ผุดโปรเจ็คยักษ์ ลงนามตั้ง
Drop Point Plus ศูนย์บริการครบวงจร

Drop Point Plus หรือ DPP เป็นศูนย์บริการครบวงจรแห่งแรกของไทย โดย บริษัท เอซเก้ จำกัด ก่อตั้งขึ้นด้วยแนวคิดการยกระดับ E-Commerce ในไทย ซึ่งศูนย์บริการ DPP จะให้บริการภายใต้โมเดล LPDE (Logistic Pay station Drop point E-Commerce) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น L-Logistic ที่สามารถเลือกเซอร์วิส เลือกบริการขนส่งที่หลากหลาย ทั้งภายในและนอกประเทศ

บริษัท เอซเก้ จำกัด ร่วมกับบริษัทโลจิสติกส์ชั้นนำของไทย ทั้ง ไปรษณีย์ไทย, DHL, TNT, CJ Logistics ผนึกกับองค์กรธุรกิจแถวหน้า ร่วมลงนามในพิธีลงนามความร่วมมือการเปิดศูนย์บริการ Drop Point Plus (DPP) ศูนย์บริการครบวงจรแห่งแรกของไทย ผลักดันธุรกิจ E-Commerce ผ่านโมเดลธุรกิจ LPDE (Logistic Pay station Drop point E-Commerce) รวมทุกค่ายมาอยู่ที่เดียวกัน เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้ใช้บริการเลือกใช้งาน พร้อมขยายศูนย์ DPP สร้างธุรกิจทางเลือกแก่ชุมชน มุ่งเป้าขยาย 600 สาขาทั่วประเทศในปี 2562

นายเทิดไท แก้วพิชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอซเก้ จำกัด เปิดเผยว่า เอซเก้ ได้ลงนามความร่วมมือการเปิดศูนย์บริการ Drop Point Plus (DPP) ร่วมกับ บริษัทโลจิสติกส์ชั้นนำอย่าง ไปรษณีย์ไทย, DHL, TNT, CJ Logistics รวมถึงยังได้ผนึกกับองค์กรธุรกิจแถวหน้าของประเทศอย่าง บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์, แอดวานซ์ เอ็มเปย์, บมจ. ไทยเศรษฐกิจประกันภัย และแอดไวซ์ ซึ่งการลงนามในครั้งนี้ถือเป็นการยกระดับธุรกิจ E-Commerce ไทยให้ก้าวไปอีกขั้น ด้วยศูนย์บริการครบวงจรที่จะอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการ รวมถึงผู้บริโภคครบทุกขั้นตอน ด้วยโมเดล LPDE (Logistic Pay station Drop point E-Commerce) ตั้งแต่บริการขนส่งสินค้าทั้งภายในและนอกประเทศ จุดบริการชำระเงินที่สะดวกครอบคลุม จุดรับสินค้าออนไลน์ที่เข้าถึงง่าย อีกทั้งยังเป็น จุดบริการ Micro Insurance ประกันความปลอดภัย Non Life สร้างความอุ่นใจ ปลอดภัยทุกการขนส่ง

“การโลดแล่นอยู่ในแวดวงธุรกิจไอทีมาร่วม 16 ปี ทำให้เรามองเห็นการเติบโตของตลาดออนไลน์อย่างใกล้ชิด รวมไปถึงโอกาสในการสร้างแพลตฟอร์มให้ผู้บริโภคได้เลือกช่องทางการขนส่งที่หลากหลายมากขึ้น อยู่ใกล้กับชุมชน ให้การบริการที่ครอบคลุม ซึ่งสิ่งที่สามารถตอบโจทย์แนวทางของเราได้คือแพลตฟอร์ม Drop Point Plus (DPP) นายเทิดไท กล่าว

Drop Point Plus หรือ DPP เป็นศูนย์บริการครบวงจรแห่งแรกของไทย
โดยทำการขนส่งร่วมกับบริษัทโลจิสติกส์ชั้นนำอย่าง ไปรษณีย์ไทย, DHL, TNT และ CJ Logistics ภายใต้ค่าบริการตามจริง ไม่มีการบวกราคาเพิ่ม สะดวก รวดเร็ว และประหยัดทั้งเงินและเวลา, P-Pay station จุดชำระเงินครบวงจร

ทั้งบริการจ่ายบิล ชำระค่าสินค้า เติมเงินโทรศัพท์ ชำระค่าน้ำ ค่าไฟ จากผู้ให้บริการแถวหน้าของประเทศอย่าง mPAY, D-Drop point กับบริการ Click and Collect สั่งสินค้าออนไลน์ แล้วสามารถไปรับสินค้าตามจุดต่างๆ ของศูนย์บริการ DPP และสุดท้ายกับบริการ E-Commerce ด้วยการประกันภัยออนไลน์รูปแบบ Micro Insuranc อาทิ ประกันอัคคีภัย ประกันการเดินทาง และประกันการขนส่งล

“DPP นอกจากจะเป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้ประกอบการสินค้าออนไลน์แล้ว เรายังมุ่งมั่นพัฒนาให้ศูนย์บริการนี้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของธุรกิจชุมชนด้วยงบลงทุนขั้นต่ำเพียง 29,900 บาท ทำให้ DPP เหมือนเป็น Social Enterprise แบบกลายๆ ที่ให้คนในชุมชนชนมีรายได้เพิ่มขึ้น นายเทิดไท กล่าวเพิ่มเติม

ปัจจุบันนี้ศูนย์บริการ DPP มีทั้งสิ้น 170 สาขา โดยมีศูนย์บริการระดับภาค 15 แห่ง และภายในสิ้นปี 2561 นี้ เราวางเป้าขยาย DPP เพิ่มเป็น 200 สาขา และมุ่งให้ครบ 600 สาขา ภายในปี 2562 พร้อมมุ่งเป้าขยายสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ 1,000 จุด ภายในระยะเวลา 5 ปี และจะมีการเพิ่มเติมบริการต่างๆ ที่สามารถทำได้ผ่านการพัฒนา Application ร่วมกับผู้ให้บริการทุกประเภท ให้สาขาสามารถเป็น “จุดสารพัดบริการในที่สุด”

DPP นอกจากจะเป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้ประกอบการสินค้าออนไลน์แล้ว เรายังมุ่งมั่นพัฒนาให้ศูนย์บริการนี้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของธุรกิจชุมชน

นอกเหนือจากบริการโมเดล LPDE แล้ว DPP ยังวางแผนที่จะเปิดบริการเพิ่มเติมรวมถึงร่วมงานกับพาร์ทเนอร์อีกร่วม 20 รายในอนาคต เพื่อให้ผู้ประกอบการได้รับความสะดวกและตรงตามแนวคิดสารพัดบริการให้มากที่สุด อาทิ การร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับ DeeMoney ผู้ให้บริการโอนเงินสู่ต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ผู้ให้บริการสามารถขยายธุรกิจสู่ต่างประเทศได้ง่ายขึ้น รวมทั้งยังเป็นการผลักดันให้สินค้าสัญชาติไทยเป็นที่รู้จักในสากล

“ตลาดสินค้าออนไลน์และตลาดโลจิสติกส์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วนี้ จะเป็นฟันเฟืองสำคัญที่หมุนให้เศรษฐกิจไทยเดินทางไปข้างหน้า ยุคนี้ได้กลายเป็นยุคของการขนส่งจากผู้ผลิต ส่งตรงถึงผู้ซื้อโดยตรง และต้องมีการบริการแบบครบวงจรในจุดที่ผู้บริโภคสะดวกสบายที่สุด ซึ่ง DPP จะเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะมาเสริมในจุดนี้  นายเทิดไท กล่าวทิ้งท้าย

แมริออท เอ็กเซ็กคิวทีฟ อพาร์ทเมนท์ ครองตำแหน่งแบรนด์เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ชั้นนำในประเทศไทย

จากเวที เวิลด์ ทราเวล อวอร์ด
เป็นปีที่ห้าติดต่อกัน

เมื่อเร็วๆนี้ แมริออท เอ็กเซ็กคิวทีฟ อพาร์ทเมนท์ คว้ารางวัลชนะเลิศสาขา ”แบรนด์เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ชั้นนำในประเทศไทย” ประจำปี 2561 จากเวที เวิลด์ ทราเวล อวอร์ด ซึ่งนับเป็นปีที่ห้าติดต่อกันที่ทางแบรนด์ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติดังกล่าว

ในแต่ละปี ทางเวิลด์ ทราเวล อวอร์ด จะมีการพิจารณามอบรางวัลให้แก่องค์กรด้านการท่องเที่ยวในสาขาต่างๆทั่วโลก โดยผ่านขั้นตอนการคัดเลือกอย่างถี่ถ้วนโดยผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ประกอบกับผลโหวตจากนักเดินทางท่องเที่ยวจากทั่วโลก

แมริออท เอ็กเซ็กคิวทีฟ อพาร์ทเมนท์ คือแบรนด์เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ระดับพรีเมี่ยมในเครือโรงแรมชั้นนำระดับโลกอย่างแมริออท ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักธุรกิจและนักเดินทางที่มองหาที่พักทั้งระยะสั้นและระยะยาว ในทำเลที่สะดวกสบาย ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย ภายในห้องพักมีการจัดสรรพื้นที่ใช้สอยอย่างลงตัว

พร็อพเพอร์ตี้ภายใต้แบรนด์แมริออท เอ็กเซ็กคิวทีฟ อพาร์ทเมนท์ทั้ง 4 แห่งในประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความตั้งใจที่จะมอบประสบการณ์การพักอาศัยที่ดีเยี่ยมให้แก่แขกผู้เข้าพักอย่างสม่ำเสมอ โดยที่ผ่านมาได้รับรางวัลอันทรงเกียรติมากมายทั้งในระดับประเทศและระดับโลก ความสำเร็จและความภาคภูมิใจที่ได้รับในช่วงปี 2561 ประกอบด้วย ”แบรนด์เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ชั้นนำในประเทศไทย” จากเวิลด์ ทราเวล อวอร์ด, “ลักชัวรี่อพาร์ทเมนท์อวอร์ดในประเทศไทย” จากลักชัวรี่ ทราเวล ไกด์, “ประกาศนียบัตรชนะเลิศการบริการยอดเยี่ยม” จากเว็บไซต์ทริปแอดไวเซอร์, “รางวัลชนะเลิศรีวิวยอดเยี่ยมโดยแขกผู้เข้าพัก” จาก  บุ๊คกิ้งดอทคอม และ “เลิฟ บาย เกสต์ อวอร์ด” จากโฮเต็ลดอมคอม เป็นต้น

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแบรนด์แมริออท เอ็กเซ็กคิวทีฟ อพาร์ทเมนท์ ท่านสามารถเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซด์
www.marriott.com/executive-apartments/travel.mi
หรือติดต่อพร็อพเพอร์ตี้ภายใต้แบรนด์
แมริออท เอ็กเซ็กคิวทีฟ อพาร์ทเมนท์ทั้ง 4 แห่งในประเทศไทย

แมริออท เอ็กเซ็กคิวทีฟ อพาร์ทเมนท์ เมย์แฟร์ กรุงเทพฯ
โทร: +66 (0) 2672 1234
แฟกซ์: +66 (0) 2672 1235
อีเมล์: mea.bkker.rsvn2@marriott.com
เว็บไซด์: www.marriottmayfairbangkok.com

แมริออท เอ็กเซ็กคิวทีฟ อพาร์ทเมนท์ สาทร วิสต้า กรุงเทพฯ
โทร: +66 (0) 2343 6789
แฟกซ์: +66 (0) 2343 6790
อีเมล์: measathornvista@marriott.com
เว็บไซด์: www.marriottsathornvista.com

แมริออท เอ็กเซ็กคิวทีฟ อพาร์ทเมนท์ สุขุมวิท พาร์ค กรุงเทพฯ
โทร: +66 (0) 2302 5555
แฟกซ์: +66 (0) 2302 5252
อีเมล์: measukhumvitpark@marriott.com
เว็บไซด์: www.marriott.com/bkksp

แมริออท เอ็กเซ็กคิวทีฟ อพาร์ทเมนท์ สุขุมวิท ทองหล่อ กรุงเทพฯ
โทร: +66 (0) 2797 0555
แฟกซ์: +66 (0) 2797 0001
อีเมล์: mhrs.bkkms.reservation@marriotthotels.com
เว็บไซด์: www.marriott.com/bkkbp

SACICT CRAFT TREND 2019 OPEN HOUSE

เปิดตัวหนังสือและแกลเลอรี่
SACICT Craft Trend 2019
งานคราฟต์ภายใต้แนวคิดใหม่
Retelling the Detailing

จากความมุ่งมั่นสืบสานวัฒนธรรม  สู่แนวทางพัฒนางานหัตถกรรมในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ  (องค์การมหาชน) นำโดย คุณอัมพวัน พิชาลัย ผู้อำนวยการ ขึ้นเป็นประธานในพิธีเปิดตัวหนังสือ SACICT Craft Trend 2019 พร้อมจัดแสดงนิทรรศการ โดยจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 5 ซึ่งได้รวบรวมเทรนด์และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่น่าสนใจ
4 เทรนด์หลัก ๆ เพื่อเป็นแนวทาง ในการพัฒนา  และต่อยอดแนวคิดการผลิตผลงานหัตถกรรมให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด

คุณอัมพวัน พิชาลัย ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ(องค์การมหาชน)

โดยมีผู้คร่ำหวอดในวงการงานหัตถกรรมและการออกแบบ คุณแสงระวี สิงหวิบูลย์ รองผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) และ คุณดำรง ลี้ไวโรจน์ บรรณาธิการบริหารนิตยสาร room มาร่วมบอกเล่าแบ่งปันประสบการณ์ถ่ายทอดความเคลื่อนไหวของงาน Craft Trend ในอนาคต พร้อมทิศทางงานออกแบบจากทั่วทุกมุมโลก

เพื่อนำแนวคิดไปใช้ต่อยอดด้านการออกแบบได้อย่างตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้นซึ่งได้มีการจัดงานเปิดตัวหนังสือและแกลเลอรี่อย่างเป็นทางการ เมื่อวันอังคารที่18 กันยายน 2561 ณ ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

คุณอัมพวัน พิชาลัย ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า “งานศิลปหัตถกรรมมีแนวโน้มได้รับความนิยมมากขึ้นเป็นสาขาที่กำลังเป็นที่สนใจของคนทั่วโลกซึ่งงานศิลปหัตถกรรม
ได้เข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์และเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยเทรนด์จึงเป็นแนวโน้ม การพัฒนาของโลกและสะท้อนถึงงานศิลปหัตถกรรม กระบวนการผลิต,วัตถุดิบการนำเสนอผลิตภัณฑ์ หรือการนำมาใช้งานผลิตภัณฑ์
จึงเป็นที่มาของเทรนด์โดยทาง SACICT ดำเนินการมาปีนี้เป็นปีที่ 5

โดยจะพยายามให้เทรนด์เหล่านั้น  เข้ามาอยู่เป็นส่วนหนึ่งในการทำงาน
โดยนำมาใช้ประโยชน์เพื่อให้เป็นการพัฒนางานศิลปะหัตถกรรมและต่อยอดสืบไป ซึ่งเทรนด์ต่างๆ นั้นมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นทางเราจึงมีนโยบายการศึกษาวิจัยตลาดมากขึ้นทำ Trend Talk, Guru panel และ ศึกษาแนวโน้มของต่างประเทศอีกด้วย เรามีมุมมองในด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็นนักออกแบบ, นักการตลาด, ผู้ใช้งานผู้ที่เกี่ยวข้องต่างๆที่เข้ามามีส่วนร่วมกับ SACICT ในแต่ละปีก็จะมีความหลากหลาย ช่วยสะท้อนถึงแง่มุมต่างๆในการกำหนดเทรนด์ได้มากขึ้น”

SACICT CRAFT TREND 2019 OPEN HOUSE   ที่ตื่นตา ทั้งการเปิดตัวหนังสือ SACICT Craft Trend 2019 ที่ปีนี้  ได้มีการรวบรวมเทรนด์และ พฤติกรรมของผู้บริโภคที่น่าสนใจออกมาเป็น 4 เทรนด์หลัก

เทรนด์แรก  ซึ่งเป็นหัวใจหลักของงาน คือ Retelling the Detailing การนำเสนอที่มาที่ไปของสินค้าหัตถกรรมด้วยการ “เล่าเรื่อง” ที่เน้นการตอกย้ำถึงคุณค่าผลิตภัณฑ์ นำเสนอเรื่องราวเชิงลึกในรายละเอียดซึ่งมีอยู่ในขั้นตอนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเล่าประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ผลิตภัณฑ์ หรือชุมชน ต่อยอดจากผลิตภัณฑ์เดิมให้มีเรื่องราวเพิ่มขึ้น โดยในนิทรรศการคุณจะได้พบกับผลิตภัณฑ์น่าสนใจจากเทรนด์นี้อาทิ ม้านั่งไม้ ผลงาน Thinkk Studio และกลุ่มแกะสลักบ้านตองกาย จังหวัดเชียงใหม่ จากโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ไทยนวัต-ศิลป์ SACICT เก้าอี้พลาสติกหุ้มเศษผ้าเก่าของ ภาสุรี วิรัชวิบูลย์กิจ หรือหูฟังตกแต่งลายเบญจรงค์ การนำบริบทของเบญจรงค์ในรูปแบบที่แปลกใหม่ ใช้ในชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้น โดยคุณกฤษณ์ พุฒพิมพ์ และคุณบุญญารัตน์ เบญจรงค์จากโครงการพัฒนาอัตลักษณ์เบญจรงค์ไทย SACICT

ต่อด้วยเทรนด์ที่สอง ตอบโจทย์ชีวิตผู้คนเมืองใหญ่ที่ห่วงใยสิ่งแวดล้อม กับ Tropical Dream คือ การนำความเป็นธรรมชาติ มาทำให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันด้วยการจำลองบรรยากาศความเขียวไว้ในบ้าน หรือที่ ทำงานรวมถึงการสร้างสรรค์กิจกรรมในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการช่วยเติมความสดชื่นให้กับจิตวิญญาณของคนเมือง ผ่านการหยิบชิ้นงานของตกแต่งบ้านชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ใช้ “ไม้” และเส้นใยธรรมชาติเป็นวัสดุหลัก อาทิเก้าอี้สตูลจากไม้ไผ่ขด เส้นสายจากธรรมชาติที่นำไปสู่รูปทรงและลวดลายที่โดดเด่น โดย Plural Designs และชุมชนงานไม้ไผ่ขด บ้านศรีปันครัว จังหวัดเชียงใหม่ จากโครงการไทยนวัตศิลป์ SACICT ร่วมด้วยการใช้รูปทรงรูปลักษณ์และลวดลายของธรรมชาติมาใช้ได้อย่างลงตัว

เทรนด์ที่สาม Righteous Crafts คือความพิถีพิถันในการพิจารณาว่าสินค้านั้น ๆ มีความถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมหรือสังคมอย่างไรหรือไม่ เป็นการหันไปมอง “ที่มาที่ไป” ที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของสินค้าแต่ละชิ้น การออกแบบที่นึกถึงวัฒนธรรมแบบบริโภคนิยม การไม่ใช้วัสดุแบบทิ้งขว้างจึงขยายวงกว้างในการออกแบบอย่างหยั่งลึก เห็นได้จากผลงานตะกร้าใส่ของ ผลิตภัณฑ์งานจักสานจากเนื้อไผ่และ
ผิวไผ่ ออกแบบ: Plural Designs และกลุ่มจักสานไม้ไผ่ บ้านก๋ายน้อย อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ จากโครงการไทยนวัตศิลป์ SACICT ที่
นำมาจัดแสดงในนิทรรศการ เรียกได้ว่า  เป็นการคิดค้นกระบวนการผลิต
ที่ไม่รบกวนสิ่งแวดล้อม หรือเลือกใช้วัสดุทางเลือกรูปแบบใหม่ ๆ ขึ้นมา
ใช้ทดแทน รวมถึงการคืนประโยชน์ให้แก่ชุมชนหรือเจ้าของวัตถุดิบ ไม่
ว่าจะเป็นการคืนรายได้ให้ชุมชน พัฒนาองค์ความรู้ร่วมกับเจ้าของภูมิปัญญาอย่างใกล้ชิดอีกด้วย

สุดท้ายกับเทรนด์ที่เกี่ยวพันกับธุรกิจการท่องเที่ยว Surreal Hospitality
คือ พูดถึงการออกแบบตกแต่งสถานที่ต่างๆ ในรูปแบบที่จะสามารถสร้างความประทับใจจนเกิดการแชร์และบอกต่อได้ ซึ่งเป็นผลจากพฤติกรรมส่วนหนึ่งจากกลุ่มเจเนอเรชั่นY โดยเป็นกลุ่มที่น่าจับตาทั้งในฐานะผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวที่มีผลต่อธุรกิจท่องเที่ยวอย่างมหาศาล ดังนั้นการออกแบบในพื้นที่เหล่านั้นจึงเป็นโอกาสให้เกิดงานคราฟต์พื้นถิ่นสุดวิจิตรที่จะได้รับการประยุกต์ให้ร่วมสมัยตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายนี้ได้เป็นอย่างดีมากขึ้น อย่างเช่น ผลงานการออกแบบของคุณกฤษณะลักษณ์ ภัครกุทวี หยิบเอาเสื่อกก มาออกแบบให้เป็นชิ้นส่วนประดับตกแต่งผนัง เพิ่มมูลค่าให้แก่สิ่งที่ดูคุ้นตาสะดุดใจ ประกอบกับการใช้  วิธีออกแบบเป็นชิ้นส่วนโมดูลาร์ เพื่อให้ถอดประกอบปรับเปลี่ยนรูปทรงได้ง่าย  เป็นหนึ่งในผลงาน  จากการประกวด Innovative Craft Award 2018  ซึ่งได้นำมาจัดแสดงนิทรรศการใน
ครั้งนี้อีกด้วย

สนใจสามารถเข้าร่วมงานที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจนี้ได้ตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2561 เวลา 10 โมงเป็นต้นไป ณ Innovative Craft Gallery
ชั้น 2 อาคารศาลาพระมิ่งมงคล ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์กรมหาชน) อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมงานได้ตั้งแต่วันที่ 18 กันยายน 2561 เป็นต้นไป
ณ Innovative Craft Gallery ชั้น 2 อาคารศาลาพระมิ่งมงคล
ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน)
อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sacict.or.th
ติดตามข่าวสารที่ www.facebook.com/sacict/

มหกรรมงานสัญจรครั้งยิ่งใหญ่แห่งภาคอีสาน

The 4th Print & Embroidery
in Northeast 2018

พิธีเปิดงานแสดงสินค้า  เทคโนโลยีการพิมพ์ แอลอีดี และ จักรปัก สัญจร
ครั้งที่ 4 หรือ (The 4th Print & Embroidery in Northeast 2018) ซึ่งมี นางสาวมินท์ธิตา นิธิกรกุลนันทน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วันทูวัน ครีเอชั่น จำกัด ในฐานะสมาชิกสมาคมงานแสดงสินค้าไทยและออร์แกนไนซ์หลัก
ที่ KICE ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติขอนแก่น

มินท์ธิตา นิธิกรกุลนันทน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วันทูวัน ครีเอชั่น จำกัด ออร์แกนไนซ์ ผู้จัด งานแสดงสินค้า ปริ้นท์เทค และจักรปัก สัญจร ครั้งที่ 4 โดยได้รับกียรติจาก ท่านสุชัย บุตรสาระ รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เป็นประธานในพิธีเปิดงาน

การจัดงานแสดงสินค้าเทคโนโลยี ปริ้นท์เทค และจักรปัก สัญจร ครั้งที่ 4 จังหวัดขอนแก่น มินท์ธิตา นิธิกรกุลนันทน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วันทูวัน ครีเอชั่น จำกัด ออร์แกนไนซ์ ผู้จัด งานแสดงสินค้า ปริ้นท์เทค และจักรปัก สัญจร ครั้งที่ 4 จังหวัด ขอนแก่น เป็นการนำผู้ประกอบการยิ่งใหญ่ 4 ด้าน โดยได้รับกียรติจาก ท่านสุชัย บุตรสาระ รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เป็นประธานในพิธีเปิดงาน

ท่านสุชัย บุตรสาระ รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เป็นประธานในพิธีเปิดงาน

เนื่องจากเห็นว่าจังหวัดขอนแก่นเป็นจังหวัดที่มีอัตราการเติบโตสูงและเป็นจุดศูนย์สำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีความพร้อมทั้งทางด้านการขนส่ง การศึกษาและเป็นศูนย์กลางด้านขอบพัฒนาแนวเศรษฐกิจกระจายโอกาสในการ สร้างงานสร้างอาชีพสำหรับคนต่างจังหวัด

อีกทั้งยังเป็นจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางติดต่อสื่อสารของภูมิภาคกงสุลใหญ่ของประเทศ เช่น เวียดนาม ลาว เปรู และฝรั่งเศส นับเป็นอีกหนึ่งที่ชี้วัดว่า
จะเป็นจุดเชื่อมภาคตะวันออกเฉียงเหนือกับโลกในอนาคต บริษัท วันทูวัน ครีเอชั่น จำกัด และผู้ประกอบการจากกรุงเทพฯเล็งเห็นความสำคัญจุดนี้ จึงเข้ามาขยายตลาดด้านการค้าการลงทุนในจังหวัดขอนแก่น เป็นศูนย์กลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือต่อไป

อีกทั้งยังเป็นจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางติดต่อสื่อสารของภูมิภาคกงสุลใหญ่ของประเทศ เช่น เวียดนาม ลาว เปรู และฝรั่งเศส นับเป็นอีกหนึ่งที่ชี้วัดว่า
จะเป็นจุดเชื่อมภาคตะวันออกเฉียงเหนือกับโลกในอนาคต

บริษัท วันทูวัน ครีเอชั่น จำกัด และผู้ประกอบการจากกรุงเทพฯเล็งเห็นความสำคัญจุดนี้ จึงเข้ามาขยายตลาดด้านการค้าการลงทุนในจังหวัดขอนแก่นซึ่งเป็นศูนย์กลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือต่อไป อย่างไรก็ตามการนำสินค้าเหล่านี้มาจัดแสดงและสาธิตการพิมพ์จากเครื่องจักรทั้งราคาถูกถึงราคาแพง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการที่ทำอยู่แล้วและผู้ประกอบการที่เพิ่มเริ่มทำธุรกิจใหม่ที่กำลังก้าวเข้ามาและต้องการหาเทคโนโลยีใหม่ ด้านเครื่องจักรในการพิมพ์โฆษณาในการพิมพ์

 

ทั้งที่มีไฟจากหลอดไฟแอลอีดี ที่จะมาช่วยเหลือต้นทุนการผลิต และเรื่องของการทำงานให้รวดเร็วและไวขึ้นจากเดิม อีกทั้งยังเป็นงานที่สนับสนุนให้นักธุรกิจได้มาพบปะแลกเปลี่ยนแนวความคิดในการพัฒนาความต้องการของผลิตภัณฑ์สู่ตลาดสากล โดยคณะผู้จัดงานทุกคนคาดหวังว่า จะเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจและเพิ่มผลกำไรให้กับผู้ประกอบการอย่างสูง และมีความุ่งมั่นตั้งใจให้งานแสดงสินค้าเทคโนโลยีการพิมพ์ แอลอีดี และจักรปัก สัญจรให้มีศักยภาพและมีชื่อเสียงต่อไป

ปริ้นเทคและจักรปัก สัญจร จังหวัดขอนแก่น นำกองทัพจักรปักผ้าคอมพิวเตอร์,จักรอุตสาหกรรมและงานสกรีนบนผ้า วัสดุอุปกรณ์สำหรับงานเสื้อผ้า KICE งานปริ้นท์เทคและจักรปักสัญจร ครั้งที่ 4 พบกับบู๊ทสินค้าจากผู้นำเข้ากว่า 50 บริษัท ที่นำเครื่องมาจัดแสดงในงาน อาทิ เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท,มัลติฟังค์ชั่น และอุปกรณ์ก่อนและหลังการพิมพ์ สำหรับศูนย์ถ่ายเอกสารครบวงจร และสินค้าจักรปัก เครื่องพิมพ์เสื้อ เครื่องสกรีน อุปกรณ์สกรีน และสินค้าอื่นๆอีกมากมายและเข้าร่วมกิจกรรม Workshop “การสร้างสีสันบนไม้ด้วยน้ำยา Crystal Ice Resins” พร้อมร่วมสนุกกับกิจกรรมภายในงาน ลุ้นรับโชคทอง 10,000 บาทศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดขอนแก่น

ติดต่อสอบถามได้ที่
คุณมินท์ธิตา นิธิกรกุลนันทน์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด
โทร.02-060-0795-96,082-4559642
Website : www.printtechexpo.com
Line : printtechexpo

#โรงงานการ์เม้นท์,#ร้านสกรีนเสื้อ,#ร้านปักเสื้อหมวก,
#ร้านขายผ้าค้าส่ง,#ร้านตัดเย็บเสื้อผ้า,#ร้านขายเสื้อผ้าแฟชั่น,#Fabric

 

Akyra Hotel “อคีรา” แบรนด์โรงแรมบูติกลักซัวรี่สัญชาติไทยแท้

อัคริณ โฮเทล กรุ๊ป เผยแผนกลยุทธ์การขยายธุรกิจไปต่างประเทศ
ชูจุดขายโรงแรมปลอดพลาสติก ดัน “อคีรา” แบรนด์โรงแรมบูติกสู่ระดับโลก

AKARYN Hotel Group อัคริณ โฮเทล กรุ๊ป ผู้นำด้านการบริหารงานโรงแรมและรีสอร์ตบูติกลักชัวรี่ในประเทศไทยและเอเชีย เจ้าของแบรนด์โรงแรมสัญชาติไทยแท้ “อลีนตา” (Aleenta) และ “อคีรา” (akyra) โดยเป็นเจ้าของรีสอร์ตชื่อดังอย่าง “อลีนตา ภูเก็ต-พังงา” (Aleenta Phuket-PhangNga) และ “อลีนตา หัวหิน-ปราณบุรี” (Aleenta HuaHin-Pranburi) และบริหารงานให้กับแบรนด์โรงแรม “อคีรา” อีก 4 แห่ง ได้แก่ “อคีรา แมเนอร์ เชียงใหม่” (akyra Manor Chiang Mai) “อคีรา บีช คลับ ภูเก็ต” (akyra Beach Club Phuket) “อคีรา ทองหล่อ กรุงเทพฯ” (akyra Thonglor Bangkok) และ “อครีา ทัส สุขุมวิท กรุงเทพฯ” (akyra TAS Sukumvit Bangkok)

โรงแรมใหม่ล่าสุดในเครือฯ นอกจากนั้น ยังได้ก่อตั้งมูลนิธิเพียวบลู (Pure Blue Foundation) ขึ้นในปี 2010 องค์กรการกุศลที่สนับสนุนโครงการอนุรักษ์ทางทะเลหลายด้าน กระทั่งในปี 2015 นางอัญชลิกา กิจคณากร ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ อัคริณ โฮเทล กรุ๊ป ได้รับยกย่องให้เป็น “Hero of Philanthropy” โดยนิตยสารฟอร์บเอเชีย จากการอุทิศเพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์ที่มีคุณค่าของเธอ

อัคริณ โฮเทล กรุ๊ป (AKARYN Hotel Group) ผู้นำด้านการบริหารงานโรงแรมและรีสอร์ตสไตล์บูติกระดับลักซัวรี่สัญชาติไทยแท้ เผยแผนการขยายตัวของ “อคีรา” (akyra) แบรนด์โรงแรมสุดฮิปและเต็มไปด้วยไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืน ภายใต้เครืออัคริณฯ เตรียมเปิดเพิ่มในไทย พร้อมรุกตลาดต่างประเทศเป็นครั้งแรก

ปัจจุบัน “อคีรา” ดำเนินธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ตรวม 4 แห่งในประเทศไทย ได้แก่ “อคีรา แมเนอร์ เชียงใหม่” (akyra Manor Chiang Mai) โรงแรมสไตล์บูติกระดับ 5 ดาว ขนาด 30 ห้อง ที่โดดเด่นด้วยสไตล์การตกแต่งหรูหราและมีอ่างอาบน้ำกลางแจ้งทุกห้อง ตั้งอยู่ในย่านนิมมานเหมินท์ชื่อดังของจังหวัดเชียงใหม่ “อคีรา บีช คลับ ภูเก็ต” (akyra Beach Club Phuket) รีสอร์ตและบีชคลับริมทะเลที่เงียบสงบ เป็นส่วนตัว ประกอบด้วยห้องสวีทจำนวน 58 ห้อง ตั้งอยู่บนหาดนาใต้ ตำบลโคกกลอย จังหวัดพังงา “อคีรา ทองหล่อ กรุงเทพฯ” (akyra Thonglor Bangkok) ดีไซน์โฮเทลจำนวน 148 ห้อง ตั้งอยู่ในทองหล่อ ย่านธุรกิจและแหล่งแฮงค์เอาท์สุดหรูของกรุงเทพฯ และ “อคีรา ทัส สุขุมวิท กรุงเทพฯ” (akyra TAS Sukhumvit Bangkok) โรงแรมใหม่ล่าสุดในเครือแบรนด์อคีรา ซึ่งเปิดให้บริการเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท ทำเลทองของกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นย่านธุรกิจ ศูนย์การค้า และความบันเทิง ภายในโรงแรมประกอบด้วยห้องพัก 50 ห้อง มีขนาดกว้างขวางและมีหน้าต่างบานใหญ่สูงจากพื้นถึงเพดานทุกห้อง เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบวงจร

ภายในปี 2022 (พ.ศ. 2565) อัคริณ โฮเทล กรุ๊ป ได้วางแผนการขยายตัวธุรกิจโรงแรม ภายในเครือแบรนด์อคีราเพิ่มขึ้นอีกสามเท่า คือจาก 4 แห่ง เป็น 12 แห่งในทำเลที่แตกต่างกัน และเป็นครั้งแรกที่ขยายตัวไปยังต่างประเทศ โดยโครงการที่กำลังอยู่ในขั้นตอนเตรียมความพร้อม ได้แก่ มาเลเซีย ไฮด์แลนด์ (Malaysian Highlands) ฮานอย ประเทศเวียดนาม และเกาะรัตนโกสินทร์ กรุงเทพฯ ขณะที่โครงการอื่น ๆ กำลังได้รับการพิจารณาเพื่อขยายตัวไปสู่ตลาดเมืองท่องเที่ยวใน บาหลี โฮจิมินห์ และพนมเปญ ซึ่งจะทำให้แบรนด์อคีราโรงแรมบูติกของไทยกระจายตัวทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต

โดยโรงแรมและรีสอร์ตแห่งใหม่ที่กำลังจะเปิดให้บริการในอนาคตภายใต้แบรนด์ “อคีรา” จะยังคงรักษาปรัชญาหลักของแบรนด์ ซึ่งรวมถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainability) การมีส่วนร่วมกับชุมชน และการตระหนักด้านสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างเช่น โรงแรมอคีรา ทัส สุขุมวิท กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นโรงแรมแห่งแรกในเอเชียที่ไม่ใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง (Single-use Plastic) ภายในห้องพัก ร้านอาหาร และบาร์

สำหรับ “อคีรา” เป็นมากกว่าแบรนด์โรงแรม เป็นทางเลือกใหม่ของผู้ที่มีวิถีการดำเนินชีวิตที่แตกต่าง (Lifestyle Choice) และสำหรับผู้ที่มองหาที่พักที่เพียบพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีทันสมัย มีการออกแบบที่โดดเด่น ตั้งอยู่บนทำเลที่ตั้งในพื้นที่ที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ (Millennial Travellers) และเต็มไปด้วยมนตร์เสน่ห์ของของชุมชนนั้น ๆ นอกจากนั้น

โรงแรมอคีราแห่งใหม่ในอนาคต ยังจะประกอบด้วยบาร์บนชั้นดาดฟ้า (Rootop Bar) ภายใต้ชื่อ ‘RISE’ (ไรซ์) โดยเปิดให้บริการแล้วที่แรก ณ โรงแรมอคีรา แมเนอร์ เชียงใหม่ และ อคีรา ทัส สุขุมวิท กรุงเทพฯ เป็นลำดับถัดมา นับเป็นแหล่งแฮงค์เอาท์ใหม่ใจกลางเมืองสำหรับผู้เข้าพักและนักท่องเที่ยวในพื้นที่ โดยให้บริการคราฟเบียร์ ค็อกเทลรังสรรค์แบบแปลกใหม่ และอาหารว่างที่ได้รับแรงบันดาลใจจากท้องถิ่นแต่ละพื้นที่ ซึ่งเป็นการสร้างรายได้คู่ขนานไปพร้อมกับธุรกิจโรงแรมของแบรนด์อคีรา

นางอัญชลิกา กิจคณากร ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ อัคริณ โฮเทล กรุ๊ป กล่าวว่า “อคีราเป็นโรงแรมแนวคิดใหม่ที่จะสร้างรายได้ โอกาส และนวัตกรรมใหม่ ๆ ดังนั้น จึงเหมาะสมอย่างยิ่งที่แบรนด์นี้กำลังจะขยายตัวไปยังต่างประเทศ และก้าวเข้าสู่จุดหมายปลายทางใหม่ที่น่าตื่นเต้น ซึ่งเรามั่นใจว่า ความมุ่งมั่นในความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของเรา ซึ่งกำลังได้รับความนิยมจากนักเดินทางสมัยใหม่ทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะทำให้แบรนด์อคีรา ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่กำลังมองหาที่พักที่ทันสมัย มีสไตล์ และมีแนวคิดเกี่ยวกับความยั่งยืน โดยทุกโรงแรมหรือรีสอร์ตแห่งใหม่ภายใต้แบรนด์อคีราจะทำให้ผู้เข้าพักสามารถดื่มด่ำกับจุดหมายปลายทางเพื่อการท่องเที่ยวและการพักผ่อน พร้อมทั้งทำให้การเดินทางแต่ละครั้งมีความหมายมากยิ่งขึ้น ด้วยการรักษ์สิ่งแวดล้อมบนโลกนี้ไปด้วยกัน”

ทั้งนี้ อัคริณ โฮเทล กรุ๊ป ได้ตั้งเป้าหมายให้โรงแรมและรีสอร์ตในเครือเป็นโรงแรมปลอดพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง 100% ภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2019 (พ.ศ. 2562) และยังจะใช้คอนเซ็ปต์นี้กับโรงแรมอื่น ๆ ที่จะเปิดตัวในอนาคตอีกด้วย ซึ่งโรงแรม 2 แห่งที่ได้เริ่มใช้นโยบายดังกล่าวแล้ว ได้แก่ อคีรา ทัส สุขุมวิท กรุงเทพฯ และ อคีรา แมเนอร์ เชียงใหม่ (ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ #akyrareduce และ #aleentareduce) นอกจากนี้ ยังเป็นพันธมิตรระยะยาวกับ “มูลนิธิเพียวบลู” (Pure Blue Foundation) องค์กรการกุศลที่สนับสนุนโครงการทางทะเล อาทิ การฟื้นฟูแนวปะการัง และการอนุรักษ์เต่า

เว็บไซต์ www.akaryngroup.com
Twitter @AKARYN_Group
Instagram @akarynhotelgroup
Facebook and YouTube @akaryn.group

#akyrareduce  #aleentareduce

เที่ยวทั่วไทย อร่อยไปทั่วโลก Lifestyle ทันทุกกระแสข่าว การเงิน อสังหาฯ IT บันเทิง แฟชั่น